วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

"ใจ"ปลุกแดงอย่าเชื่อระบบรัฐสภา...

สัปดาห์หลังการเลือกตั้ง แต่ไม่มีรัฐบาลใหม่ที่มาจากเสียงประชาชน และอภิสิทธิ์มือเปื้อนเลือดยังเป็นนายกฯ ปรากฏการณ์นี้ตรงข้ามกับหลักการประชาธิปไตยพื้นฐาน ...

ขึ้นต้นกันอย่างนี้จะเป็นใครอื่นไม่ได้ นอกจาก นายใจ อึ๊งภากรณ์ แกนนำขบวนการล้มเจ้า ที่ยังเกาะกระแสคนเสิ้อแดงและชัยชนะในการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย อย่างต่อเนื่อง

และก็เป็นนายใจ ที่อ้างความล่าช้าของกระบวนการพิจารณารับรองส.ส.ว่าเป็นอคติที่นำไปสู่รัฐประหาร ๑๙ กันยาแต่แรก และวิกฤตการเมืองเรื้อรังของไทย

หนำซ้ำก็เป็น นายใจ ที่อ้างความคิดในระบบการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย ว่า ควรเปิดสภาทันที และตั้งรัฐบาล ภายหลังการเลือกตั้ง โดย กกต. ไม่ควรมีสิทธิ์อะไรที่จะรับรอง สส. เลย

แต่ถ้าพบภายหลังว่า ส.ส. คนไหนโกงการเลือกตั้งจริงๆ ก็ควรจะปลดออกหลังการตั้งรัฐบาลและการเปิดสภา แล้วนำบุคคลเหล่านั้นมาขึ้นศาล

ข้อสรุปของ นายใจ ชัด ๆ ตรงไปตรงมา แบบนี้ "เราต้องยกเลิก กกต. ... "

ปะ ฉะ ดะ กกต. เรียบร้อย นายใจ ก็บานปลายความคิดไปเล่นงาน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ว่า ถึงเวลาต้องยกเลิกคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ที่เต็มไปด้วยทหาร ตำรวจ และเสื้อเหลืองด้วย

เพราะรายงานเรื่องการฆ่าประชาชนเมื่อพฤษภาคมปีที่แล้ว ก็ยังไม่ออกมาสักที และถ้าออกมาเราก็สงสัยว่าจะปกปิดอะไรบ้างอีกด้วย ทำงานล้าช้าแบบเต่าล้านปีเช่นกัน

และสิ่งที่ขาดไม่ได้ของ นายใจ ก็คือ กรณีกฎหมายหมิ่นสถาบันเบื้อสูง ที่อ้างว่าเป็นเหตุผลหนึ่งในความจำเป็นต้องปลดคณะกรรมการสิทธิมนุษชน เพราะ ปล่อยให้คนโดนคดีและติดคุก จากกฎหมาย 112

" มันมีหลายๆ เรื่องที่ต้องปฏิรูปแก้ไขในสังคมไทย หลังการเลือกตั้ง เช่น การปล่อยนักโทษการเมืองทุกคน การยกเลิกกฏหมาย 112 , การยกเลิกการเซ็นเซอร์สื่อ , การปลดนายพลอย่างประยุทธ์ออก และปฏิรูปกองทัพ และระบบยุติธรรมสองมาตรฐานอย่างถอนรากถอนโคน การนำอาชญากรที่ฆ่าประชาชนเมื่อปีที่แล้วขึ้นศาล ฯลฯ

ทั้งหมดทั้งมวล เป็นแนวทางการเคลื่อนไหวที่ นายใจ เห็นว่าคนเสื้อแดงควรเดินหน้าด้วยตัวเอง หลังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกมาปรามนปช.ให้หยุด ซึ่ง นายใจ บอกว่า เป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด และเชื่อว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะไม่ทำในสิ่งเหล่านั้น

ด้วยคำพูดว่า " อย่าลืมว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดจากรัฐสภาตามลำพัง ... "

ตรงนี้สำคัญและต้องติดตามกันต่อไปว่า ระหว่างคนเสื้อแดง กับพรรคเพื่อไทย จะคู่ขนานกันไปอย่างไร ในเมื่อข้อเรียกร้องและแนวทางการทำงานระหว่าง มวลชน กับ พรรคการเมือง ดูเหมือนจะมีรอยห่างมากขึ้นเรื่อย ๆ


ที่มา : http://www.tnews.co.th/html/read_headnews.php?hilight_id=1043

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น