ผิดหวังไปตาม ๆ กัน กับนโยบายลดค่าครองชีพ และแก้ปัญหาปากท้องของรัฐบาล ’ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร“ ที่ยังทำไม่ได้สมราคาคุยที่เคยประกาศไว้ว่าจะดูแลแก้ไขปัญหาค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชน เพราะจนถึงวันนี้ราคาสินค้าโดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตประจำวัน ยังไม่ปรับลดราคาเพื่อช่วยเหลือพี่น้องคนไทยแต่อย่างใด แม้ว่ารัฐบาลจะลดราคาน้ำมันทุกกลุ่มทุกประเภทไปให้แล้วลิตรละ 3-8 บาทก็ตาม
แต่บรรดาพ่อค้าแม่ค้าข้าวแกง-ก๋วยเตี๋ยว- น้ำปั่น หรือกระทั่งสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ยังคงคิดราคาแพงเหมือนเดิม มีเพียงแค่ 5 สินค้าเท่านั้นที่ยอมลดราคา คือ ปุ๋ยเคมี เครื่องปั๊มน้ำ ปูนซีเมนต์ กระเบื้องมุงหลังคา และแป้งสาลี ที่ยอมลดราคาลงมากู้หน้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ไว้บ้าง
ที่เหลือ...ยังไม่มีการลดราคา แถมยังฝากบอกกันมาอีกว่าไม่ขึ้นราคาก็ดีถมไป ทั้งที่รัฐบาลได้ส่งสัญญาณไปยังผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคทั่วประเทศ ให้ปรับลดราคาสินค้าลงทันทีเมื่อราคาน้ำมันลดลงก็ตาม
เสียงสะท้อนที่ออกมาจากบรรดาผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วประเทศ ทั้ง “เครือสหพัฒน์” และบริษัท “ยูนิลีเวอร์” ยักษ์ใหญ่แห่งวงการที่มีสินค้าในเครือกว่า 100 แบรนด์ นับหมื่น ๆ รายการ รวมถึงบริษัทผู้ผลิตระดับกลาง ต่างประสานเสียงพร้อมเพรียงกันว่า คงตามใจรัฐบาลไม่ได้ เพราะต้นทุนสินค้าจากการขนส่ง หรือจากราคาน้ำมัน มีสัดส่วนไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ สวนทางกับต้นทุนวัตถุดิบสินค้าที่ใช้ผลิตสินค้าในส่วนอื่นต่างทยอยขึ้นมาหมด และที่ผ่านมาเอกชนก็ยังยืนราคาเท่าเดิมมาตลอด ไม่เคยฉวยโอกาสขึ้นราคาแต่อย่างใด แม้ต้องกัดฟันรับกำไรจากการขายสินค้าน้อยลงก็ตาม
ขณะที่ผลการศึกษาของกระทรวงพาณิชย์ ถึงทิศทางราคาสินค้าอุปโภคบริโภคหลังจากรัฐปรับลดน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 3 บาท พบว่ามีเพียง 73 รายการที่มีต้นทุนลดลงจริง โดยที่ลดสูงสุด ได้แก่ รถยนต์นั่ง 1,600 ซีซี และรถบรรทุกเล็ก 2,500 ซีซี ลดได้ 84 บาท ต่ำสุดผ้าอนามัย ลดได้ 0.0008 บาท ขณะที่สินค้าจำเป็นอื่น ๆ เช่น เหล็กเส้นเอสอาร์ 24 ขนาด 99 มม.เส้น ลดได้ 15 สตางค์ กระดาษพิมพ์เขียน 60 แกรมต่อตัน ลดได้ 9.5 บาท โทรทัศน์ 21 นิ้ว ลดได้ 7.7 บาท
ส่วนที่เหลือ เช่น ยางรถยนต์ ปูนซีเมนต์ แบตเตอรี่ ตะปู ไม้อัด สังกะสี สายไฟฟ้า น้ำมันหล่อลื่น นมผง นมสด อาหารสัตว์ ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืช กระเบื้องใยหิน กาแฟสำเร็จรูป เครื่องแบบนักเรียน กระดาษชำระ น้ำมันปาล์ม น้ำส้มสายชู กระจก อะลูมิเนียม ผงชูรส น้ำดื่ม น้ำอัดลม แชมพู ถุงพลาสติก ยาสีฟัน แป้งเด็ก สบู่ ปลากระป๋อง ลดราคาได้แค่เศษเสี้ยวสตางค์เท่านั้น
ส่งผลให้การประชุมแก้ปัญหาราคาสินค้าระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กับผู้ประกอบการเกือบ 200 ราย เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 54 ที่มี ’ภูมิ สาระผล“ รมช.พาณิชย์ เป็นประธาน กลายเป็นหมัน ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เพราะมีสินค้าเพียง 5 รายการ ที่ยอมลดราคาลง 0.55-13.88% ได้แก่ ปูนซีเมนต์ถุง 50 กก. ลด 5-10 บาท จากราคาปัจจุบัน 135-140 บาท กระเบื้องมุงหลังคา ลดลงแผ่นละ 5 บาท จาก 36-40 บาท ปุ๋ยเคมีลดถุงละ 5-8 บาท จาก 905-1,010 บาท เครื่องปั๊มน้ำลด 100-200 บาท จาก 4,590 บาท และแป้งสาลี ลด 10 บาท จาก 477-698 บาท
ส่วนหมวดสินค้าอื่น ๆ ได้แก่ หมวดของใช้ประจำวัน เช่น ผงซักฟอก สบู่ ยาสีฟัน หรือหมวดอาหารและเครื่องดื่ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง จะช่วยตรึงราคาจำหน่ายไปจนถึงสิ้นปี เพราะสาเหตุส่วนหนึ่งสินค้ากลุ่มนี้ได้มีการทำสัญญาว่าจ้างการขนส่งกับผู้ประกอบการรับเหมาขนส่งไว้เป็นรายปี และทำสัญญากันล่วงหน้าจนถึงสิ้นปีแล้ว อีกทั้งราคาน้ำมันยังเป็นสัดส่วนแค่ 1-3% ของต้นทุนสินค้า โดยที่เหลือต้นทุนมาจากวัตถุดิบการผลิตเกินกว่า 50% รวมถึงค่าการตลาด ค่าแรงงาน เครื่องจักรอีกกว่า 40%
ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนยังให้มุมมองว่า ปัจจุบันการแข่งขันในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภครุนแรงมากขึ้น ทุกยี่ห้อต่างแข่งขันอัดโปรโมชั่นจำนวนมาก จึงไม่มีรายใดกล้าขึ้นราคามาก จนเสี่ยงกระทบยอดขายหดตัวลงแน่นอน เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยในปัจจุบัน ต่างให้ความสำคัญกับการพิจารณาเลือกซื้อสินค้าแต่ละแบรนด์มากขึ้น และตามความชื่นชอบส่วนตัว
บรรดาผู้เชี่ยวชาญในวงการราคาสินค้า ทั้ง “นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย” และ “นายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย” ยืนยันในทิศทางเดียวกัน นโยบายลดราคาน้ำมัน เพื่อส่งสัญญาณให้เอกชนในแวดวงสินค้าต่าง ๆ ลดราคานั้น คงไม่สามารถทำได้ เพราะราคาน้ำมันไม่ได้ลดลงตลอด และยังสวนทางกับนโยบายปรับขึ้นเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ค่าจ้างรายวันขึ้นต่ำเป็น 300 บาท ที่ทำให้ต้นทุนเอกชนสูงขึ้นทันทีถึง 30-50%
ขณะที่มุมมองของ ’บุญชัย โชควัฒนา“ ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูลย์ จำกัด มหาชน ผู้ผลิตสินค้าอุปโภครายใหญ่ของประเทศ ให้ความเห็นว่า บริษัทไม่สามารถลดราคาสินค้าได้ เพราะนโยบายลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินในประเทศถูกลงนั้น เป็นการลดชั่วคราวไม่กี่เดือนเท่านั้น หากให้เอกชนลดราคาสินค้าลงได้ทั้งตลาด ต้องมาจากราคาน้ำมันถูกลงเป็นเวลานาน หรือ ราคาน้ำมันดีเซลลงมาอยู่ที่ 25 บาทต่อลิตร
เรื่องนี้...จึงสะท้อนได้ว่านโยบายการปรับลดราคาน้ำมันดีเซล หรือเบนซินเพื่อกระตุ้นให้เกิดการปรับลดราคาสินค้า จึงไม่ใช่การเกาถูกที่คันในการแก้ปัญหาค่าครองชีพนัก เพราะสินค้าแทบไม่มีต้นทุนลดลงเลย และราคาลดแค่เศษเสี้ยวสตางค์เท่านั้น นโยบายการแก้ปัญหาราคาสินค้าชุดแรกของรัฐบาลจึงสอบตก ราคาน้ำมันจึงเหมือนแค่รำแก้บน หมอลำซิ่ง จากที่เคยหาเสียงไว้เท่านั้น
ข้อเสนอของผู้ผลิตสินค้าที่เสนอให้รัฐบาลดูแลและแก้ไขการลดราคาสินค้าให้ถูกทางมีอยู่หลายข้อด้วยกัน สำหรับผู้ประกอบการกลุ่มขนส่งได้ร้องเรียนให้รัฐเร่งแก้ปัญหาส่วยรถบรรทุก ที่ถือเป็นต้นทุนสำคัญของการขนส่งสินค้า เพราะในแต่ละเดือนผู้ประกอบการต้องจ่ายให้ตำรวจนับแสน ๆ บาท เพื่อซื้อสติกเกอร์มาติดไว้หน้ารถป้องกันการถูกจับกุม ซึ่งคิดเป็นต้นทุน 15-20% ของการขนส่งเลยทีเดียว โดยหากขจัดปัญหาส่วยไปได้ ต้นทุนค่าขนส่งจะลดลงยิ่งกว่าราคาดีเซล
ต่อมาคือการช่วยลดราคาสินค้าต้นน้ำที่เป็นต้นทุนการผลิตสินค้าอื่น ๆ เช่น อาหารเลี้ยงสัตว์ที่ผู้ประกอบการได้ร้องขอให้รัฐบาลช่วยลดภาษีนำเข้ากากถั่วเหลืองลง 2% เหลือ 0% เพื่อทำให้ราคาอาหารสัตว์ถูกลง และจะช่วยให้ราคาอาหาร เนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ ลดลงตามไปด้วย รวมถึงน้ำตาลทราย ที่เป็นต้นทุนสำคัญในการผลิตเครื่องดื่ม นมสด นมข้นหวาน ขนม และอาหารอีกหลายชนิด หากรัฐบาลมีนโยบายทำให้ถูกลง สินค้ากลุ่มเหล่านี้ก็จะลดลงตามได้อย่างแน่นอน
แม้ข้อเสนอเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ บรรดาข้าราชการและคนในวงการจะเข้าใจรู้เรื่องอยู่เต็มอก แต่ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายการเมืองจะจริงใจเข้าไปแก้ไขมากน้อยแค่ไหน เพราะหลายปัญหาแก้ได้ยากเหมือน “หยิกเล็บเจ็บเนื้อ” อาจเกิดแรงกระเพื่อมใหญ่ตามมาได้ อย่างเรื่องส่วยทางหลวงสติกเกอร์ ที่วันนี้รัฐบาลยังเลือก ทำหูหนวก ตาบอด ไม่ได้ยิน มองไม่เห็นต่อไป ทั้งที่ชาวบ้านชาวเมืองรู้กันทั้งบาง
อย่างกรณีปัญหาน้ำตาลทราย การที่รัฐบาลปล่อยให้จัดเก็บเงินจากผู้บริโภค กก.ละ 5 บาท เข้าไปชดเชยเงินในกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อนำเงินไปแทรกแซงราคาอ้อยช่วยเหลือเกษตรกร ถือว่าเป็นธรรมหรือไม่ ที่จะต้องโยนภาระมาให้ประชาชนทั้งประเทศแบบนี้ ยิ่งในช่วงปลายปีนี้ภาระชดเชยเงินเข้ากองทุนจะหมดลง ถ้ารัฐบาลตั้งใจจริงแก้ปัญหาจริง ก็ช่วยให้ราคาน้ำตาลลดลงได้ถึง กก.5 บาท แต่ก็เสี่ยงกระทบต่อกลุ่มผลประโยชน์ในวงการน้ำตาล ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของการเมืองไป
อีกแนวทางสำคัญที่ภาคเอกชนต้องการ คือ เสนอให้รัฐใช้กลไกตลาดควบคุมราคาสินค้ากันเอง ไม่อยากให้รัฐหรือกระทรวงพาณิชย์ เข้ามากำหนดแต่เพียงราคาสินค้าให้อยู่ในระดับที่ต่ำเพียงอย่างเดียว เพราะการกำหนดราคาสินค้าให้ถูก อาจจะทำให้คุณภาพสินค้าที่ผลิตออกมาสู่ผู้บริโภคแย่ และทำให้ประชาชนคนไทยซื้อสินค้าไปแล้วได้รับสินค้าที่มีคุณภาพต่ำ หรือหากมองอีกมุมการขายสินค้าในราคาถูกแสนถูกเท่านั้น อาจจะทำให้เอกชนรายเล็กไม่มีผลกำไรจากการประกอบธุรกิจ ก็คงไม่มีแรงจูงใจในการทำธุรกิจอีกต่อไป ในอนาคตก็คงต้องเลิกทำธุรกิจนี้ไปในที่สุด
ทั้งนี้เชื่อว่าหากราคาสินค้าถูกปรับขึ้นอย่างมีเหตุมีผล และทยอยปรับขึ้นเป็นลำดับ ประชาชนส่วนใหญ่จะยอมรับและปรับตัวได้ เช่น หากวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศสูงขึ้นจริง ก็อาจอนุญาตให้ปรับราคาแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ตรึงราคาท่าเดียวจนสินค้าขาดตลาด แต่ในทางเดียวกันหากต้นทุนลงก็ควรติดตามให้ราคาปลายทางลดลงด้วย ขณะเดียวกันรัฐบาลอาจจัดหาทางเลือกสินค้าราคาถูก สำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยเป็นครั้งคราวก็ถือเป็นแนวทางที่ทำได้
แต่สิ่งที่ประชาชนรับไม่ได้เลย และรัฐบาลต้องระมัดระวังให้ดี คือไม่ปล่อยให้ราคาสินค้าแพงขึ้นรวดเร็วอย่างไร้เหตุผล หรือขึ้นราคาแบบมีเรื่องชอบมาพากลซ่อนเร้นอยู่เหมือนรัฐบาลชุดก่อน ที่บริหารงานผิดพลาดปล่อยให้เกิดวิกฤติน้ำมันปาล์มขาดแคลน แถมราคาในตลาดมืดยังสูงลิบลิ่ว หรือปัญหาเนื้อหมู ไก่ ไข่ ราคาแพง เพราะมัวปล่อยให้นายทุนลักลอบส่งออกสินค้าไปเพื่อนบ้านหมด จนไม่เพียงพอกับการบริโภคในประเทศ
เนื่องจากปกติไทยสามารถผลิตอาหารได้เพียงพอกินพอใช้อยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับที่เราคนไทย จะต้องยอมกินของแพงเหมือนประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องขอนำเข้าจากบ้านเรา ดังนั้น การแก้ปัญหาการผูกขาดสินค้าจึงถือเป็นอีกวาระสำคัญที่รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขให้ได้โดยด่วน เพราะเป็นต้นตอสำคัญที่ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นโดยใช่เหตุ และนับวันจะทวีความรุนแรง แม้ดูเป็นเรื่องยากแต่เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง ของรัฐบาลซึ่งกุมเสียงในสภาเกินกึ่งหนึ่งที่จะทำ เว้นแต่ว่ากล้าพอไหม และจริงใจกันแค่ไหน
นักการเมืองทุกคนอย่าลืมว่า รัฐบาลชุดนี้มาพร้อมกับความคาดหวังในการแก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชน ทั้งจากตัวนโยบายหาเสียงที่ประกาศไว้ และความล้มเหลวการบริหารงานค่าครองชีพของรัฐบาลชุดก่อน ดังนั้นการแก้ปัญหาครองชีพจึงถือเป็นเรื่องเร่งด่วน!!! ที่รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งแก้ไขให้เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว และเป็นรูปธรรมกว่าที่เป็นอยู่ ไม่เช่นนั้นความคาดหวังของคนไทย อาจแปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวังจนทำให้รัฐบาลอายุสั้นกว่าที่ควรจะเป็นก็ได้...
ศักดิ์ชัย อินทร์จันทร์
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=310&contentID=162820
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น