เปิดบัญชีเสื้อแดง “เมียกี้ร์อริสมันต์” แจ้งทรัพย์ส่วนตัว 11 ล้าน ด้าน “กี้ร์” มีเงิน 1.06 บาท ลูก 4 แสนกว่าบาท ส่วนหนี้รวมเกือบ 10 ล้าน ด้าน “เดียร์-ขัตติยา” แจงมีทรัพย์ไม่ถึง 1 หมื่น “เหวง-ธิดา” รวยกว่า 15 ล้านบาท ด้าน “ตู่-จตุพร” แจ้งมีทรัพย์ 8 ล้านกว่าบาท พร้อมแจ้งบัญชีลูก 3 คน จาก 3 เมีย
วันนี้ (28 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบัญชีทรัพย์สินของ ส.ส.ที่เป็นแกนนำ หรือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดงที่น่าสนใจ อาทิ นายหนูแดง วรรณกางซ้าย ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคเพื่อไทย มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 18,882,958 บาท นางเอมอร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย และคู่สมรส มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1,533,167 บาท นายวรชัย เหมะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 2,782,147 บาท จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 2,425,141 บาท นางเทียบจุฑา ขาวขำ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน 429,390 บาท
นางรพีพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง คู่สมรส มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 2,007,334 บาท อย่างไรก็ตาม นางรพีพรรณได้แสดงทรัพย์สินของตัวเอง จำนวน 11,298,403 บาท ทรัพย์สินของคู่สมรส จำนวน 1.06 บาท ซึ่งอยู่ในบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย สาขารัฐสภา โดยเป็นการปรับบัญชีล่าสุดเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.54 และยังมีหนี้สินของนายอริสมันต์ ระบุว่าเป็นเงินกู้จากธนาคาร จำนวน 3,720,267 บาท น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มีทรัพย์สิน 9,693 บาท ซึ่งเป็นเงินฝากธนาคารกสิกรไทย สาขาเซ็นทรัล เวิลด์ นางเยาวนิตย์ เพียงเกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และ นายอดิศร เพียงเกษ คู่สมรสมีทรัพย์สินรวม18,205,529 บาท นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และ นางธิดา โตจิราการ รักษาการประธาน นปช.คู่สมรส มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 15,254,319 บาท อย่างไรก็ตาม หนี้สินของ นพ.เหวง ส่วนใหญ่เป็นเงินกู้จากธนาคาร และเงินเบิกเกินบัญชี
นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน 65,191 บาท นายพิชิต ชื่นบาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 8,340,800 บาท นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 74,052,959 บาท ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นโรงเรือน และสิ่งปลูกสร้าง ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมหลายยูนิต ย่านสีลม 20 ล้านบาท เงินลงทุน 58 ล้านบาทเศษ เงินให้กู้ยืม 2 ล้านบาทเศษ นอกจากนี้ นายก่อแก้วยังมีทรัพย์สินอื่นมูลค่า 749,000 บาท โดยแจ้งรายละเอียดของรายการว่า เป็นพระเครื่อง 1 ชุด 3 องค์ อาวุธปืน 2 กระบอก นายวิเชียร ขาวขำ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน 4,179,350 บาท
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และ นางสิริสกุล ใสยเกื้อ คู่สมรส มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 15,126,415 บาท โดยนายณัฐวุฒิมีทรัพย์สินของตัวเอง จำนวน 14,896,105 บาท ส่วนคู่สมรสมีทรัพย์สิน 5,754,746 บาท บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีทรัพย์สิน จำนวน 1,213,606 บาท นอกจากนี้ นายณัฐวุฒิยังได้แจ้งทรัพย์สินอื่น จำนวน 100,000 บาท อาทิ ปืน 1 กระบอก นายพายัพ ปั้นเกตุ ส.ส.บัญชีราย พรรคเพื่อไทย มีทรัพย์สินมากว่าหนี้สิน 2,445,586 บาท น.ส.จารุพรรณ กุลดิลก ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย บุตรสาว พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิกล รมช.คมนาคม มีทรัพย์สิน 199,251,271 บาท นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มีทรัพย์สินรวม 8,224,825 บาท ไม่มีหนี้สิน ทั้งนี้ นายจตุพรไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินของคู่สมรส แต่แจ้งบัญชีทรัพย์สินของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะไว้ จำนวน 5,185 บาท และได้แสดงหลักฐานไว้ต่อ ป.ป.ช.เป็นสูติบัตร ของ ด.ญ.ศดายุ พรหมพันธุ์ เกิดเมื่อวันที่ 20 ส.ค.54 มี น.ส.นารีรัตน์ นันเนิ้ง เป็นมารดา, สูติบัตรของ ด.ญ.พอเพียง พรหมพันธุ์ เกิดเมื่อวันที่ 17 ม.ค.43 มี น.ส.อนุกาญจน์ พรหมกระแส เป็นมารดา และ ด.ช.ปัณณพัฒน์ พรหมพันธุ์ เกิดเมื่อวันที่ 5 มี.ค.53 มี น.ส.พรหมภัสสร ณ กาฬสินธุ์ เป็นมารดา
ปล.หน้า.......แบบนี้ มีได้ถึง 3 เมีย.......เหวย ๆๆๆๆ
วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554
อธิการฯ มธ.เขียน FB ตั้งคำถาม"นิติราษฎร์"15ข้อ
อธิการฯ มธ.เขียน FB ตั้งคำถาม"นิติราษฎร์"15ข้อ
27 กย. 2554 18:00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาสตราจารย์ ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ตั้งคำถาม 15 ข้อต่อข้อเรียกร้องของกลุ่มนิติราษฎร์ ทาง facebook Somkit Lertpaithoon ว่า
“ในฐานะนักกฎหมายช่วยตอบคำถามเหล่านี้ด้วย
๑.เราสามารถยกเลิกกฎหมายที่ถูกยกเลิกไปแล้วได้หรือไม่ เช่น การยกเลิก รธน. ๒๕๔๙
๒.ถ้าตำรวจจับคนร้ายที่ทำผิดจริงมาแต่ไม่ได้สอบสวนโดยละเอียด ต่อมาคนร้ายถูกฟ้องศาล มีการโต้แย้งว่ากระบวนการของตำรวจไม่ค่อยถูกต้อง แต่ศาลเห็นว่าไม่เป็นไร ศาลก็พิพากษาไป ตกลงคำพิพากษาของศาลใช้ได้หรือไม่
๓.ถ้ามีคนเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมในช่วง คมช.ไม่ถูกต้อง ก็ให้ดำเนินการใหม่ คนอีกกลุ่มเห็นว่าการตัดสินคดีซุกหุ้น ศาลตัดสินผิดโดยสิ้นเชิง คนกลุ่มหลังจะขอให้ยกเลิก รธน. ๒๕๔๐ ตั้งศาลรธน.ใหม่ แล้วพิพากษาคดีซุกหุ้นใหม่ จะได้หรือไม่
๔. ประชาชนจะลงมติแก้รธน.ที่ถูกยกเลิกไปแล้วได้หรือไม่
๕. รธน.๒๕๕๐ ได้รับการลงประชามติโดยประชาชน ในทางกฎหมายเราจะพูดได้หรือไม่ว่า ประชาชนลงมติโดยไม่ถูกต้อง หรือรธน. ๒๕๕๐ ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของประชาชน?
๖. คตส. ตั้งโดยคมช. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ตั้งโดย คมช. ใช่หรือไม่
๗.การดำเนินการตามแนวคิดของนิติราษฎร์ ไม่มีผลทางกฎหมายต่อนายกฯทักษิณเลยใช่หรือไม่
๘. มาตรา ๑๑๒ ขัดแย้งกับ รธน .จริงหรือ และขัดกับรธน. ๒๕๕๐ ที่จะถูกยกเลิกใช่หรือไม่
๙.ประเทศทั้งหลายในโลกรวมทั้งเยอรมัน เขาไม่คุ้มครองประมุขของประเทศเป็นพิเศษแตกต่างไปจากประชาชนใช่หรือไม่
๑๐. ถ้ามีคนไปโต้แย้งนิติราษฎร์ในที่สาธารณะเขาจะไม่ถูกขว้างปาและโห่ฮาเหมือนกับหมอตุลย์ใช่หรือไม่
๑๑. ถ้าเรายกเลิกกฎหมายที่ถูกยกเลิกไปแล้วได้ เราจะล้มเลิกการกระทำทั้งหลายและลงโทษคณะรัฐประหารกี่ชุด สุจินดา ถนอม ประภาส สฤษดิ์ จอมพล ป. อ.ปรีดี หรือจะลงโทษเฉพาะคณะรัฐประหารที่กระทำต่อนายกฯทักษิณ
๑๒. ความเห็นของนักกฎหมายที่เห็นไม่ตรงกับนิติราษฎร์แต่ดีกว่านิติราษฎร์ รัฐบาลนี้จะรับไปใช่หรือไม่
๑๓. ศาลรธน. ช่วยนายกฯทักษิณคดีซุกหุ้นถือว่าใช้ได้ แต่ไม่ช่วยคดียึดทรัพย์ถือว่าใช้ไม่ได้ เป็นตุลาการภิวัตน์ใช่หรือไม่
๑๔. บทบัญญัติว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของประชาชนตาม รธน. ๒๕๕๐ แย่กว่า รธน. ๒๕๔๐, ๒๔๗๕ ที่นิติราษฎร์จะนำมาใช้ใช่หรือไม่
๑๕. คมช. เลว ส.ส.ร.ที่มาจาก คมช.ก็เลว รธน.๒๕๕๐ ที่มาจาก ส.ส.ร.ก็เลว แต่รัฐบาลที่มาจาก รธน. เลว เป็นรัฐบาลดีใช่หรือไม่
ส.ส.ร.ที่มาจากรัฐบาลชุดนี้และที่ อ.วรเจตน์จะเข้าร่วม ก็เป็น ส.ส.ร.ที่ดีใช่หรือไม่”
27 กย. 2554 18:00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาสตราจารย์ ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ตั้งคำถาม 15 ข้อต่อข้อเรียกร้องของกลุ่มนิติราษฎร์ ทาง facebook Somkit Lertpaithoon ว่า
“ในฐานะนักกฎหมายช่วยตอบคำถามเหล่านี้ด้วย
๑.เราสามารถยกเลิกกฎหมายที่ถูกยกเลิกไปแล้วได้หรือไม่ เช่น การยกเลิก รธน. ๒๕๔๙
๒.ถ้าตำรวจจับคนร้ายที่ทำผิดจริงมาแต่ไม่ได้สอบสวนโดยละเอียด ต่อมาคนร้ายถูกฟ้องศาล มีการโต้แย้งว่ากระบวนการของตำรวจไม่ค่อยถูกต้อง แต่ศาลเห็นว่าไม่เป็นไร ศาลก็พิพากษาไป ตกลงคำพิพากษาของศาลใช้ได้หรือไม่
๓.ถ้ามีคนเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมในช่วง คมช.ไม่ถูกต้อง ก็ให้ดำเนินการใหม่ คนอีกกลุ่มเห็นว่าการตัดสินคดีซุกหุ้น ศาลตัดสินผิดโดยสิ้นเชิง คนกลุ่มหลังจะขอให้ยกเลิก รธน. ๒๕๔๐ ตั้งศาลรธน.ใหม่ แล้วพิพากษาคดีซุกหุ้นใหม่ จะได้หรือไม่
๔. ประชาชนจะลงมติแก้รธน.ที่ถูกยกเลิกไปแล้วได้หรือไม่
๕. รธน.๒๕๕๐ ได้รับการลงประชามติโดยประชาชน ในทางกฎหมายเราจะพูดได้หรือไม่ว่า ประชาชนลงมติโดยไม่ถูกต้อง หรือรธน. ๒๕๕๐ ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของประชาชน?
๖. คตส. ตั้งโดยคมช. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ตั้งโดย คมช. ใช่หรือไม่
๗.การดำเนินการตามแนวคิดของนิติราษฎร์ ไม่มีผลทางกฎหมายต่อนายกฯทักษิณเลยใช่หรือไม่
๘. มาตรา ๑๑๒ ขัดแย้งกับ รธน .จริงหรือ และขัดกับรธน. ๒๕๕๐ ที่จะถูกยกเลิกใช่หรือไม่
๙.ประเทศทั้งหลายในโลกรวมทั้งเยอรมัน เขาไม่คุ้มครองประมุขของประเทศเป็นพิเศษแตกต่างไปจากประชาชนใช่หรือไม่
๑๐. ถ้ามีคนไปโต้แย้งนิติราษฎร์ในที่สาธารณะเขาจะไม่ถูกขว้างปาและโห่ฮาเหมือนกับหมอตุลย์ใช่หรือไม่
๑๑. ถ้าเรายกเลิกกฎหมายที่ถูกยกเลิกไปแล้วได้ เราจะล้มเลิกการกระทำทั้งหลายและลงโทษคณะรัฐประหารกี่ชุด สุจินดา ถนอม ประภาส สฤษดิ์ จอมพล ป. อ.ปรีดี หรือจะลงโทษเฉพาะคณะรัฐประหารที่กระทำต่อนายกฯทักษิณ
๑๒. ความเห็นของนักกฎหมายที่เห็นไม่ตรงกับนิติราษฎร์แต่ดีกว่านิติราษฎร์ รัฐบาลนี้จะรับไปใช่หรือไม่
๑๓. ศาลรธน. ช่วยนายกฯทักษิณคดีซุกหุ้นถือว่าใช้ได้ แต่ไม่ช่วยคดียึดทรัพย์ถือว่าใช้ไม่ได้ เป็นตุลาการภิวัตน์ใช่หรือไม่
๑๔. บทบัญญัติว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของประชาชนตาม รธน. ๒๕๕๐ แย่กว่า รธน. ๒๕๔๐, ๒๔๗๕ ที่นิติราษฎร์จะนำมาใช้ใช่หรือไม่
๑๕. คมช. เลว ส.ส.ร.ที่มาจาก คมช.ก็เลว รธน.๒๕๕๐ ที่มาจาก ส.ส.ร.ก็เลว แต่รัฐบาลที่มาจาก รธน. เลว เป็นรัฐบาลดีใช่หรือไม่
ส.ส.ร.ที่มาจากรัฐบาลชุดนี้และที่ อ.วรเจตน์จะเข้าร่วม ก็เป็น ส.ส.ร.ที่ดีใช่หรือไม่”
โฆษกปชป. ชำแหละ 8 ผลงาน ผลงานรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชี้ "ภูมิใจกับความเดือดร้อนประชาชน"

โฆษกปชป. ชำแหละ 8 ผลงาน ผลงานรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชี้ "ภูมิใจกับความเดือดร้อนประชาชน"
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแถลงผลงาน 1 เดือนของรัฐบาลว่า ฝ่ายค้านต้องการให้รัฐบาลทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนแต่การแถลงผลงาน 8 ข้อของทีมงานโฆษกรัฐบาลเป็นตลกร้ายน่าเสียดายแทนประชาชน ไม่เคยเห็นการแถลงผลงานด้วยการตั้งคณะกรรมการเป็นความสำเร็จ ประเด็นแรก เรื่องการตั้ง ตั้งคณะกรรมการองค์กรอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ที่มี นายอุกฤษ มงคลนาวิน เป็นประธาน ไม่มีการดำเนินการเป็นรูปธรรม แต่กลับให้อำนาจล้นฟ้าชี้ถูกชี้ผิดในกระบวนการยุติธรรม สร้างความสับสนล่วงละเมิดอำนาจศาล เป็นเรื่องน่าตลกที่ยังไม่มีการประชุมของคณะกรรมการแม้แต่ครั้งเดียวแต่กลับอ้างเป็นผลงานรัฐบาลทั้งที่คณะกรรมการชุดนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือพรรคพวก ญาติพี่น้องไม่ต้องรับโทษ ให้อยู่เหนือกฎหมาย
2 แก้ยาเสพติดตั้งเป็นวาระแห่งชาติถ้าแค่กำหนดเป็นวาระแห่งชาติแล้วแก้ปัญหาได้ให้ตนเป็นรัฐบาล 15 นาทีก็แก้ได้ ซึ่งการแก้ไขก็เดินตามรอยพรรคประชาธิปัตย์ เพราะปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติมาโดยตลอด พูดอยางนี้ตนถือว่าวุฒิภาะวะมีปัญหาเพราะไม่ใช่เรื่องจะมาอวดอ้างเป็นผลงาน นอกจากนี้รับบาลยังใช้ปัญหายาเพสติด บ่อนการพนันเป็นข้ออ้างในการย้าย ผบ.ตร. สนับสนุนญาติตัวเองเป็น ผบ.ตร. อยากถามว่าบ่อนกลางกรุงเรื่องไปถึงไหนแล้ว เมื่อพวกของท่านเป็น รักษาการณ์ผบ.ตร.บ่อนกลางกรุงได้รับการแก้ไขแล้วหรือ สิ่งที่ยกเป็นผลงานไม่ได้เป็นสัปรดเลย
3 เรื่องนี้น่าขำที่สุด คือการส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำ แก้ปัญหาอุทกภัย ท่านพูดออกมาไม่ขำตัวเองหรือ แก้ไขอย่างบูรณาการของรัฐบาลตนเห็นอย่างเดียวคือ บางระกำโมเดลคือท่วมกันทั้งประเทศ ตนและหัวหน้าพรรคต้องไปช่วยพี่น้องประชาชน แต่รัฐบาลกลับอ้างเป็นผลงานทั้งที่ประชาชนตกระกำลำบาก ประชาชนเดือดร้อน 615,497 ครอบครัว ช่วยได้ 139,180 ครอบครัว คิดเป็น 22 เปอเซ็นเท่านั้น ขอให้ช่วยเกษตรกรในเรื่องเงินส่วนต่างก็ไม่ได้รับคำตอบ และยังมากล่าวอ้างเป็นผลงาน ตนขอฟ้องประชาชนที่เดือดร้อนค่อนประเทศ ว่ารัฐบาลเอาความเดือดร้อนของประชาชนมาเป็นผลงานตัวเอง
4 คืนสันติสุขภาคใต้ 10 วันมีเหตุร้าย 22 ครั้ง เสียชีวิต 16 คน บาดเจ็บ 131 คน ไม่คิดว่ารัฐบาลจะอำมหิตเอาความสูญเสียภาคใต้มาเป็นผลงานรัฐบาล ควรมีความละอายใจนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่เคยไปเหยียบภาคใต้หลังเป็นนายกมาบอกเป็นผลงานใจท่านทำด้วยอะไร
5 ฟื้นฟูความสัมพันธ์พัฒนาความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้าน ข้อนี้ใกล้เคียงที่สุดในการเป็นผลงานรัฐบาล เพราะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับกัมพูชาได้จริงเป็นความสัมพันธ์ส่วนตัว เพื่อประโยชน์ของพวกท่าน ผู้หลบหนีคดีใช้กัมพูชาเป็นที่พำนักพักพิง สมเด็จฮุนเซนไม่ต้องเถียงตน เพราะเขายอมรับกันหมดแล้ว ใช้กัมพูชาเป็นที่ซ่องสุมของคนหลบหนีคดี และชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อรัฐมนตรีพลังงานให้สัมภาษณ์ว่ามีการเร่งเจรจาผลประโยชน์ทับซ้อนทางทะเลโดยใช้แผนที่ที่รัฐบาลชุดที่แล้วไม่เคยยอมรับ ตอกย้ำว่ารัฐบาลมุ่งหน้าถลุงทรัพยากรประเทศอย่างเดียว
6 แก้ปัญหาความเดือดร้อนภาวะเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน การแก้ปัญหาน้ำมันดีเซลลดไปสามบาทขณะนี้ส่วนต่างเหลือแค่บาทกว่าท กองทุนน้ำมันเป็นหนี้ 3300 ล้าน บาต่อเดือนท เอกชนได้ 1800 ล้านบาท ค่าครองชีพไม่ลด ไม่ทราบลดน้ำมันดีเซลให้ใคร เป็นการแก้ไขให้บริษัทน้ำมันได้ประโยชน์ใช่หรือไม่
7 ยกระดับคุณภาพชีวิต เช่น นโยบายบ้านหลังแรกผู้ได้ประโยชน์ผู้มีเงินเดือนไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นบาท เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาทไม่ได้ขึ้นทันทีแต่เป็นรายได้เพิ่มเติม ถือโกหกบิดเบือนหลอกลวงประชาชน เพราะไม่ตรงกับที่หาเสียงไว้ มีการบิดเบือนคำพูด ขณะที่นโยบาย รถยนต์คันแรกบริษัทได้ประโยชน์มีการขยายแบบไม่จำกัดซีซีเป็นการต่อรองระหว่างบริษัทกับรัฐบาล ประชาชนไม่ได้ประโยชน์
8 ยกระดับราคาสินค้าให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งทุน รัฐบาลลดราคาสินค้าเกษตร เช่น มันสำปะหลัง ที่ใช้วัตถุดิบพลังงานทดแทน ปาล์มน้ำมัน ราคาตกต่ำกว่า 21 เปอเซ็น เกษตรกรเป็นหนี้เพิ่มขึ้น ได้รับความเสียหาย นอกจากนี้รัฐบาลยังดึงดันทำโครงการจำนำข้าว ทั้งที่นักวิชาการเตือนสร้างความเสียหายเป็นแสนล้านแต่รัฐบาลไม่ฟังเพราะคิดว่าประเทศพินาศก็พังไปเพราะเป้าหมายไม่ใช่เพื่อประชาชนจะทิ้งหนี้ให้ประชาชนเท่าไหร่ไม่สนใจเพราะมุ่งช่วยพี่น้องพรรคพวกตัวเองเป็นหลัก เป็นเรื่องน่าอดสูที่มีการแถลงผลงานแบบนี้ หวังว่าในอีกสามสิบวันคงไม่ตั้งคณะกรรมการ 20 ชุดเพิ่มวาระอห่งชาติ 20 ด้านเพื่อเป็นผลงานรัฐบาล
ส่วนกรณีที่ทีมโฆษกรัฐบาลออกมากล่าวหาว่านโยบาย 99 วันทำได้จริงของพรรคประชาธิปัตย์ทำไม่ได้นั้น หากไม่รู้จริงอย่าพูด เพราะทุกนโยบายที่ประกาศใช้เวลาไม่ถึงเดือน เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เรียนฟรี 15 ปี กองทุนเศรษฐกิจพอเพียง เบี้ยเลี้ยงอสม. ล้วนแต่ปฎิบัติได้ภายในเดือนมกราคมปี 2552 หลังจากประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลเพียงเดือน กรณีเรียนฟรีมีเด็กได้ประโยชน์กว่า 12 ล้านคน ลดภาระผู้ปกครองปีละ 3000-10000 บาท อสม.ได้รับการดูแลกว่าล้านคนส่งผลให้ประชาชนได้รับการดูแลจากอสม.กว่าสี่ล้านคน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้รับการดูแลจากภาครัฐ ห้าล้านสี่แสนคน เพิ่มจากรัฐบาลชุดก่อนถึงสามเท่า กองทุนเศรษฐกิจพอเพียงมีชุมชนทั่วประเทศร่วม 12000 ชุมชนได้ประโยชน์จากงบประมาณกว่า 3 พันล้าน ทุกโครงการของพรรคประชาธิปัตย์มีประชาชนได้รับประโยชน์จริง แล้ว 1 เดือนรัฐบาลใครได้ประโยชน์ นอกจากบริษัทเอกชนและบริษัทในตระกูลชินวัตร แล้วท่านยังกล้าโชว์ผลงานอีกหรือ ตนคิดว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่รัฐบาลจะทำอย่างนี้ และหวังว่าประชาชนจะเห็นธาตุแท้พิจารณาผลงานรัฐบาลต่อไป
http://www.democrat.or.th/th/news-activity/news/detail.php?ELEMENT_ID=9786&SECTION_ID=29
เมื่ออาจารย์ธรรมศาสตร์ออกมาฉะ "นิติราษฎร์"

เมื่ออาจารย์ธรรมศาสตร์ออกมาฉะ "นิติราษฎร์"
[สิ่งที่คล้ายกันพึงได้รับการปฏิบัติอย่างเดียวกัน แต่ไม่พึงปฏิบัติอย่างเดียวกันกับสิ่งที่ต่างกัน!]
ผมจากเมืองไทยมาประชุมสมาคมนักกฎหมายเปรียบเทียบที่เมืองเยอรมันเสียหลายวัน ระหว่างนี้ได้รับจดหมายแสดงความตะขิดตะขวงใจกับแถลงการณ์ของคณะนิติราษฎร์จากมิตรสหายและลูกศิษย์ลูกหาหลายราย จึงตอบไปในเบื้องต้นว่า ก่อนอื่นควรแสดงความคารวะต่อชาวคณะนิติราษฎร์ซึ่งเป็นผู้ที่กล้าคิดและแถลงความคิดเห็นของตนต่อสาธารณชนเพื่อชักชวนให้มาคิดคล้อยและคิดค้านกันบนฐานแห่งเหตุผล เพราะท่านเหล่านี้กำลังชักชวนให้เรามาร่วมกันสร้างโลกและสร้างสังคมด้วยเหตุด้วยผล ไม่จมอยู่ในอคติ หรือผลัดกันเขียนเวียนกันอ่านวานกันชมเฉพาะหมู่พวกของตัว
ในขณะเดียวกันก็ควรยินดีว่าการที่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่เตือนให้เราสำรวจ และการสำรวจความบกพร่องในเชิงหลักการของข้อคิดความเห็นของเราเองเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างสม่ำเสมอ ทำนองดียวกันการสำรวจข้อคิดของคนที่เรารักและนับถือ ไปจนกระทั่งการเตือนให้เขามองเห็นความบกพร่องบางข้อ หรือเตือนให้มองเห็นในมุมมองอื่นบ้าง ตามมาตรฐานเยอรมันถือว่าพึงกระทำเป็นนิตย์ และอันที่จริงเป็นหน้าที่ของมิตรอย่างหนึ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่นักวิชาการนำเสนอความเห็นต่อสาธารณชน โดยนำสิ่งที่ไม่ควรเทียบกันมาเทียบกันประหนึ่งว่าเป็นสิ่งที่เทียบกันได้ หรือแสดงความเห็นโดยไม่ชี้แจงให้ชัดว่าเป็นความเห็น แต่ทำให้คนเชื่อไปว่าเป็นความรู้โดยมิได้ตั้งแง่คิดให้ผู้อ่านได้ไตร่ตรองอย่างแจ่มชัดนั้น อาจชวนให้เกิดความหลงทาง หรือเกิดไขว้เขวทางความคิดแก่คนหมู่มากจนยากจะแก้ไข เป็นสิ่งที่นักวิชาการพึงระวัง
เรื่องการลบล้างผลคำพิพากษาที่อ้างว่าขัดต่อหลักความยุติธรรมอย่างร้ายแรงโดยอ้างอำนาจประชาชนนั้น ก่อนอื่นต้องพิเคราะห์กันเสียก่อนว่าสิ่งที่เรียกว่า การอ้างอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนขึ้นลบล้างคำพิพากษานั้น ในเชิงหลักการเป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่
หลักของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ดำรงอยู่ได้ไม่ใช่เพราะตั้งอยู่บนฐานของเสียงข้างมากเฉย ๆ แต่เพราะเป็นเสียงข้างมากที่ยืนยันหลักการถือกฎหมายเป็นใหญ่ หรือที่เรียกกันว่าหลักนิติธรรม นั่นคือนับถือว่า ข้อพิพาททั้งปวงต้องได้รับการวินิจฉัยจากศาลยุติธรรมที่ตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย กล่าวอีกอย่างก็คือ อำนาจสูงสุดแม้จะเป็นของประชาชน แต่ก็จำกัดโดยกฎหมายเสมอ และกฎหมายที่ว่านี้มีอยู่อย่างไรก็ต้องตัดสินโดยผู้พิพากษาซึ่งเป็นอิสระ
ที่ว่าเป็นอิสระในที่นี้ก็คือต้องเป็นคนกลาง ที่เข้าสู่ตำแหน่งเพราะมีคุณสมบัติเป็นที่ประจักษ์ทั้งในทางคุณวุฒิ และทางคุณธรรม ไม่ใช่ตั้งกันตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ แต่ตั้งขึ้นจากบุคคลที่ผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่พอจะทำให้น่าเชื่อได้ว่า บุคคลเหล่านี้ล้วนมีคุณวุฒิเป็นผู้รู้กฎหมาย รู้ผิดชอบชั่วดี และเป็นผู้ทรงคุณธรรมคือวินิจฉัยตัดสินคดีไปตามความรู้และความสำนักผิดถูกของตน โดยตั้งตนอยู่ในความปราศจากอคติ และมีหลักเกณฑ์ทางจรรยาบรรณคอยควบคุม
ด้วยเหตุนี้แม้ประชาชนจะลงประชามติไว้ว่าอย่างไรก็ตาม หากประชามติซึ่งเป็นการใช้อำนาจสูงสุดของประชาชนนั้นขัดต่อกฎหมาย ศาลซึ่งเป็นคนกลางที่เป็นอิสระก็มีอำนาจชี้ขาดว่าประชามตินั้นขัดต่อกฎหมายและไม่มีผลบังคับ
ตัวอย่างเมื่อไม่นานมานี้เห็นได้จากคดี Perry v. Schwarzenegger ซึ่งศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาพิพากษาไปเมื่อ ๔ สิงหาคม ปี ๒๐๑๐ นี้เองว่า ผลการลงประชามติของผู้ออกเสียงเลือกตั้งในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อ ๘ พฤศจิกายน ๒๐๐๘ ที่มีมติให้แก้รัฐธรรมนูญของแคลิฟอร์เนียเสียใหม่ เพื่อหวงห้ามมิให้คนเพศเดียวกันทำการสมรสกันได้นั้นขัดต่อหลักความเสมอภาคและขัดต่อรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ตามประชามตินั้น ประชาชนเสียงข้างมากในแคลิฟอร์เนียต้องการให้กำหนดตายตัวลงในรัฐธรรมนูญของแคลิฟอร์เนียทีเดียวว่า การสมรสจะทำได้เฉพาะหญิงกับชายเท่านั้น
คำพิพากษาของศาลสูงสหรัฐอเมริกาในคดีนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ศาลตัดสินไปในทางที่ขัดต่อมติมหาชน จัดเป็น Anti-Majoritarian Decision แต่ศาลสหรัฐอเมริกาก็ได้ยอมรับว่า เมื่อเสียงส่วนมากใช้ไปในทางที่ผิด ศาลซึ่งแม้เป็นเสียงข้างน้อยที่แสนจะน้อยก็มีหน้าที่ชี้ถูกชี้ผิดให้เสียงข้างมากรับรู้ไว้
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าคำพิพากษาจะเป็นธรรมเสมอไป และใช่ว่าวงการตุลาการไทยเป็นสถาบันที่แตะต้องวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ แต่กระนั้น เราก็ยังต้องถือเป็นหลักว่า คำพิพากษาที่ไม่เป็นธรรมย่อมต้องได้รับการแก้ไขจากอำนาจตุลาการด้วยกัน การปล่อยให้อำนาจนิติบัญญัติอ้างอำนาจประชาชนเข้าแทรกแซง ถึงขั้นเปลี่ยนแปลงหรือลบล้างคำพิพากษานั้น ย่อมขัดต่อหลักความเป็นอิสระของอำนาจตุลาการ เว้นแต่สิ่งที่อ้างว่าควรลบล้างไปนั้น แท้จริงมิได้มีฐานะหรือมีค่าเป็นคำพิพากษาแต่อย่างใด เมื่อไม่มีค่าพอที่จะนับถือเป็นคำพิพากษาแล้ว การจะลบล้างโดยใช้อำนาจนิติบัญญัติย่อมพอจะฟังได้ ไม่ต่างอะไรกับการแก้ไขกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมนั่นเอง
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า จะอาศัยเกณฑ์อะไรมาตัดสินว่า สิ่งนั้น ๆ เป็นคำพิพากษาที่ควรเคารพหรือไม่ ซึ่งแน่นอนไม่อาจใช้เพียงเกณฑ์เสียงข้างมากเป็นเป็นเครื่องตัดสินได้ มิฉะนั้นเสียงข้างมากในวันข้างหน้าก็อาจกลับเสียงข้างมากของวันนี้ได้เสมอ แต่ต้องว่ากันตามหลักเหตุผล ผิด-ถูกที่่ได้รับการใคร่ครวญอย่างรอบคอบจนประจักษ์แน่แก่ใจแล้วเท่านั้น
กรณีคำพิพากษาของ "ศาลประชาชนในยุคนาซี" ที่รัฐสภาเยอรมันได้ตรากฎหมายลบล้างไปเมื่อปี ๒๐๐๒ นั้น อันที่จริงไม่ใช่เป็นเพราะนั่นเป็นคำพิพากษาที่ขัดต่อความยุติธรรมธรรมดา แต่เป็นเพราะกรณีดังกล่าวไม่อาจนับเป็นคำพิพากษาได้เลยต่างหาก เพราะนั่นคือองค์กรนาซีที่ใช้ชื่อว่า "ศาลประชาชน" โดยแฝงอยู่ในรูปของศาล และอ้างศาลเป็นเครื่องมือก่อการร้ายและก่ออาชญากรรม ดังนั้นการนำกรณีนี้มากล่าวถึงในการสนับสนุนข้อเสนอให้ลบล้างคำพิพากษาของศาลไทยนั้น ทำให้น่าคิดว่ากรณีองค์การก่อการร้ายของนาซีเยอรมันจะเทียบกันกับกรณีของศาลไทยได้ละหรือ?
ผู้ที่สนใจประวัติของนาซีเยอรมันย่อมรู้ดีว่า "ศาลประชาชนยุคนาซี" นั้นไม่ใช่่ศาลยุติธรรมตามความหมายที่เราเข้าใจกันในประเทศไทย แต่เป็นศาลพิเศษที่ฮิตเล่อร์ตรากฎหมายตั้งขึ้น และเหตุที่ตั้งศาลพิเศษนี้ขึ้นก็เพราะศาลยุติธรรมเยอรมันในเวลานั้นไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจการชี้นำของฮิตเล่อร์ โดยได้พิพากษาปล่อยตัวกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมันที่ฮิตเล่อร์กล่าวหาว่าเป็นตัวการวางเพลิงเผารัฐสภาเยอรมันเป็นอิสระ ฮิตเล่อร์ไม่พอใจที่ตนควบคุมตุลาการในศาลยุติธรรมไม่ได้ ก็เลยอ้างอำนาจประชาชนใช้รัฐสภาแก้ไขกฎหมายวิธีพิจารณาความเสียใหม่ แล้วตั้ง "ศาลประชาชน" ขึ้นมา โดยโอนคดีความผิดต่อความมั่นคงของรัฐทั้งหมดมาไว้กับศาลประชาชนนี้ แล้วจำกัดเขตอำนาจศาลยุติธรรมพิจารณาคดีอาญาทั่ว ๆ ไปเท่านั้น
ศาลประชาชนของฮิตเล่อร์นี้ประกอบด้วยองค์คณะผู้พิพากษา ๕ นาย ในจำนวนนี้เป็นผู้พิพากษาอาชีพ ๒ นาย แต่อีก ๓ นายเป็นเจ้าหน้าที่ของพรรคนาซีซึ่งฮิตเล่อร์เป็นผู้แต่งตั้งด้วยตนเอง โดยจะต้องปรากฏว่าเป็นเจ้าหน้าที่พรรคที่จงรักภักดีต่อฮิตเล่อร์อย่างเห็นประจักษ์เท่านั้น เพียงแค่องค์ประกอบเช่นนี้ก็ทำให้เห็นได้ชัดแล้วว่า ผู้ที่ทำหน้าที่ผู้พิพากษาไม่ได้เป็นอิสระ แต่เป็นสาวกของฮิตเล่อร์ที่ตั้งขึ้นตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจนั่นเอง ทำให้เราไม่อาจเรียกศาลประชาชนของฮิตเล่อร์ได้ว่าเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการ เพราะที่จริงเป็นแต่องค์กรพรรคนาซีที่แฝงอยู่ในชื่อของศาลเท่านั้น
เพียงเท่านี้เราก็จะเห็นได้ว่า กรณีที่เยอรมันตรากฎหมายลบล้างคำพิพากษาศาลประชาชนนาซีนั้น ยากที่จะนำมาเทียบกับกรณีของไทย เพราะตุลาการในศาลแผนกคดีอาญานักการเมืองนั้นไม่ได้มาจากการแต่งตั้งของคณะปฏิวัติรัฐประหาร แต่มาจากการเลือกตั้งของผู้พิพากษาศาลยุติธรรม เป็นผู้พิพากษาอาชีพที่มีที่มาจากผู้พิพากษาอาชีพเท่านั้น คณะปฏิวัติรัฐประหารไม่มีอำนาจคัดเลือกหรือแต่งตั้งแต่อย่างใด
นอกจากนี้เราควรทราบต่อไปได้ว่าในศาลประชาชนของนาซีนั้น นอกจากผู้ใช้อำนาจตัดสินจะเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองของนาซีเป็นเสียงข้างมากแล้ว ศาลประชาชนนาซียังไม่อนุญาตให้ผู้ต้องหาเลือกทนายความได้อย่างอิสระอีกด้วย ผู้ต้องหามีสิทธิแค่เสนอชื่อผู้ที่ตนเห็นควรเป็นทนาย และบุคคลดังกล่าวจะเป็นทนายให้ได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากศาลนาซีเสียก่อนเท่านั้น โดยทั่วไปทนายความที่ได้รับความเห็นชอบจากศาลจะรู้ตัวว่าตนได้ว่าคดีใดล่วงหน้าเพียง ๑ วัน หรือไม่กี่ชั่วโมงก่อนเริ่มการพิจารณา โดยมากทนายความมักไม่รู้จัก หรือไม่มีโอกาสติดต่อกับผู้ต้องหามาก่อนล่วงหน้ามาก่อน และศาลจะพิจารณาคดีอย่างรวบรัด โดยไม่มีการอุทธรณ์ฎีกา
จากตัวเลขทางการเยอรมัน ในปี ๑๙๔๔ ศาลประชาชนของฮิตเล่อร์มีผูู้พิพากษาอาชีพราว ๑ ใน ๔ ของผู้พิพากษาที่ได้รับแต่งตั้งมาจากเจ้าหน้าที่พรรคนาซี และนับแต่มีการตั้งศาลแห่งนี้ขึ้นจนสิ้นสุดสงครามโลกนั้น ศาลนี้ได้พิพากษาตัดสินประหารชีวิตคนไปราว ๗,๐๐๐ คน
ประสบการณ์อันเลวร้ายของฮิตเล่อร์และพลพรรคนาซีนี้เป็นสิ่งที่คับข้องใจประชาชนเยอรมันมานาน ดังนั้นจึงพอเข้าใจได้ว่า เหตุใดรัฐสภาเยอรมันจึงตรากฎหมายลบล้างคำพิพากษาของศาลประชาชนนาซีเป็นการทั่วไป ซึ่งก็คือลบล้างคำพิพากษาเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ หรือคดีการเมืองในยุคนาซี หรือคดีที่อ้างอิงกฎหมายที่นาซีตราขึ้นเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าการเพิกถอนคำพิพากษาศาลประชาชนนาซีนั้นแท้จริงเป็นการเพิกถอนคำตัดสินขององค์กรก่อการร้ายสำคัญในอดีต ไม่ได้ยกเลิกคำพิพากษาคดีอาญาทั่วไปของศาลยุติธรรมเยอรมันแต่อย่างใด
ข้อที่น่าคิดต่อไปอยู่ที่ว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองของไทยเรา ซึ่งมีผู้พิพากษาเป็นผู้พิพากษาอาชีพทั้งหมด และมีกระบวนการพิจารณาที่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาต่อสู้ได้เต็มที่ตามกฎหมาย เลือกทนายความของตนเองได้อย่างอิสระ จะไปเทียบกับการตัดสินขององค์การก่อการร้ายที่แฝงอยู่ในรูปของศาลนาซีได้อย่างไร?
บางทีเราอาจต้องคอยเตือนตัวเองไว้บ้างว่า ยามที่เราคอยเตือนผู้อื่นไม่ให้ตกหลุมทางความคิด โดยระวังอย่าปักธงคำตอบไว้ล่วงหน้าแล้วค่อยหาเหตุผลตามหลังนั้น เรากำลังตกอยู่ในหลุมนั้นเช่นกันหรือเปล่า?
https://www.facebook.com/pages/Chaoprayanews-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2/153125851399901
วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554
รัฐบาลจุกอกกดราคาสินค้าไม่ลง ชาวบ้านถาม...หาเสียงไว้ทำได้แค่โม้
ผิดหวังไปตาม ๆ กัน กับนโยบายลดค่าครองชีพ และแก้ปัญหาปากท้องของรัฐบาล ’ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร“ ที่ยังทำไม่ได้สมราคาคุยที่เคยประกาศไว้ว่าจะดูแลแก้ไขปัญหาค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชน เพราะจนถึงวันนี้ราคาสินค้าโดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตประจำวัน ยังไม่ปรับลดราคาเพื่อช่วยเหลือพี่น้องคนไทยแต่อย่างใด แม้ว่ารัฐบาลจะลดราคาน้ำมันทุกกลุ่มทุกประเภทไปให้แล้วลิตรละ 3-8 บาทก็ตาม
แต่บรรดาพ่อค้าแม่ค้าข้าวแกง-ก๋วยเตี๋ยว- น้ำปั่น หรือกระทั่งสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ยังคงคิดราคาแพงเหมือนเดิม มีเพียงแค่ 5 สินค้าเท่านั้นที่ยอมลดราคา คือ ปุ๋ยเคมี เครื่องปั๊มน้ำ ปูนซีเมนต์ กระเบื้องมุงหลังคา และแป้งสาลี ที่ยอมลดราคาลงมากู้หน้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ไว้บ้าง
ที่เหลือ...ยังไม่มีการลดราคา แถมยังฝากบอกกันมาอีกว่าไม่ขึ้นราคาก็ดีถมไป ทั้งที่รัฐบาลได้ส่งสัญญาณไปยังผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคทั่วประเทศ ให้ปรับลดราคาสินค้าลงทันทีเมื่อราคาน้ำมันลดลงก็ตาม
เสียงสะท้อนที่ออกมาจากบรรดาผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วประเทศ ทั้ง “เครือสหพัฒน์” และบริษัท “ยูนิลีเวอร์” ยักษ์ใหญ่แห่งวงการที่มีสินค้าในเครือกว่า 100 แบรนด์ นับหมื่น ๆ รายการ รวมถึงบริษัทผู้ผลิตระดับกลาง ต่างประสานเสียงพร้อมเพรียงกันว่า คงตามใจรัฐบาลไม่ได้ เพราะต้นทุนสินค้าจากการขนส่ง หรือจากราคาน้ำมัน มีสัดส่วนไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ สวนทางกับต้นทุนวัตถุดิบสินค้าที่ใช้ผลิตสินค้าในส่วนอื่นต่างทยอยขึ้นมาหมด และที่ผ่านมาเอกชนก็ยังยืนราคาเท่าเดิมมาตลอด ไม่เคยฉวยโอกาสขึ้นราคาแต่อย่างใด แม้ต้องกัดฟันรับกำไรจากการขายสินค้าน้อยลงก็ตาม
ขณะที่ผลการศึกษาของกระทรวงพาณิชย์ ถึงทิศทางราคาสินค้าอุปโภคบริโภคหลังจากรัฐปรับลดน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 3 บาท พบว่ามีเพียง 73 รายการที่มีต้นทุนลดลงจริง โดยที่ลดสูงสุด ได้แก่ รถยนต์นั่ง 1,600 ซีซี และรถบรรทุกเล็ก 2,500 ซีซี ลดได้ 84 บาท ต่ำสุดผ้าอนามัย ลดได้ 0.0008 บาท ขณะที่สินค้าจำเป็นอื่น ๆ เช่น เหล็กเส้นเอสอาร์ 24 ขนาด 99 มม.เส้น ลดได้ 15 สตางค์ กระดาษพิมพ์เขียน 60 แกรมต่อตัน ลดได้ 9.5 บาท โทรทัศน์ 21 นิ้ว ลดได้ 7.7 บาท
ส่วนที่เหลือ เช่น ยางรถยนต์ ปูนซีเมนต์ แบตเตอรี่ ตะปู ไม้อัด สังกะสี สายไฟฟ้า น้ำมันหล่อลื่น นมผง นมสด อาหารสัตว์ ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืช กระเบื้องใยหิน กาแฟสำเร็จรูป เครื่องแบบนักเรียน กระดาษชำระ น้ำมันปาล์ม น้ำส้มสายชู กระจก อะลูมิเนียม ผงชูรส น้ำดื่ม น้ำอัดลม แชมพู ถุงพลาสติก ยาสีฟัน แป้งเด็ก สบู่ ปลากระป๋อง ลดราคาได้แค่เศษเสี้ยวสตางค์เท่านั้น
ส่งผลให้การประชุมแก้ปัญหาราคาสินค้าระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กับผู้ประกอบการเกือบ 200 ราย เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 54 ที่มี ’ภูมิ สาระผล“ รมช.พาณิชย์ เป็นประธาน กลายเป็นหมัน ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เพราะมีสินค้าเพียง 5 รายการ ที่ยอมลดราคาลง 0.55-13.88% ได้แก่ ปูนซีเมนต์ถุง 50 กก. ลด 5-10 บาท จากราคาปัจจุบัน 135-140 บาท กระเบื้องมุงหลังคา ลดลงแผ่นละ 5 บาท จาก 36-40 บาท ปุ๋ยเคมีลดถุงละ 5-8 บาท จาก 905-1,010 บาท เครื่องปั๊มน้ำลด 100-200 บาท จาก 4,590 บาท และแป้งสาลี ลด 10 บาท จาก 477-698 บาท
ส่วนหมวดสินค้าอื่น ๆ ได้แก่ หมวดของใช้ประจำวัน เช่น ผงซักฟอก สบู่ ยาสีฟัน หรือหมวดอาหารและเครื่องดื่ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง จะช่วยตรึงราคาจำหน่ายไปจนถึงสิ้นปี เพราะสาเหตุส่วนหนึ่งสินค้ากลุ่มนี้ได้มีการทำสัญญาว่าจ้างการขนส่งกับผู้ประกอบการรับเหมาขนส่งไว้เป็นรายปี และทำสัญญากันล่วงหน้าจนถึงสิ้นปีแล้ว อีกทั้งราคาน้ำมันยังเป็นสัดส่วนแค่ 1-3% ของต้นทุนสินค้า โดยที่เหลือต้นทุนมาจากวัตถุดิบการผลิตเกินกว่า 50% รวมถึงค่าการตลาด ค่าแรงงาน เครื่องจักรอีกกว่า 40%
ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนยังให้มุมมองว่า ปัจจุบันการแข่งขันในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภครุนแรงมากขึ้น ทุกยี่ห้อต่างแข่งขันอัดโปรโมชั่นจำนวนมาก จึงไม่มีรายใดกล้าขึ้นราคามาก จนเสี่ยงกระทบยอดขายหดตัวลงแน่นอน เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยในปัจจุบัน ต่างให้ความสำคัญกับการพิจารณาเลือกซื้อสินค้าแต่ละแบรนด์มากขึ้น และตามความชื่นชอบส่วนตัว
บรรดาผู้เชี่ยวชาญในวงการราคาสินค้า ทั้ง “นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย” และ “นายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย” ยืนยันในทิศทางเดียวกัน นโยบายลดราคาน้ำมัน เพื่อส่งสัญญาณให้เอกชนในแวดวงสินค้าต่าง ๆ ลดราคานั้น คงไม่สามารถทำได้ เพราะราคาน้ำมันไม่ได้ลดลงตลอด และยังสวนทางกับนโยบายปรับขึ้นเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ค่าจ้างรายวันขึ้นต่ำเป็น 300 บาท ที่ทำให้ต้นทุนเอกชนสูงขึ้นทันทีถึง 30-50%
ขณะที่มุมมองของ ’บุญชัย โชควัฒนา“ ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูลย์ จำกัด มหาชน ผู้ผลิตสินค้าอุปโภครายใหญ่ของประเทศ ให้ความเห็นว่า บริษัทไม่สามารถลดราคาสินค้าได้ เพราะนโยบายลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินในประเทศถูกลงนั้น เป็นการลดชั่วคราวไม่กี่เดือนเท่านั้น หากให้เอกชนลดราคาสินค้าลงได้ทั้งตลาด ต้องมาจากราคาน้ำมันถูกลงเป็นเวลานาน หรือ ราคาน้ำมันดีเซลลงมาอยู่ที่ 25 บาทต่อลิตร
เรื่องนี้...จึงสะท้อนได้ว่านโยบายการปรับลดราคาน้ำมันดีเซล หรือเบนซินเพื่อกระตุ้นให้เกิดการปรับลดราคาสินค้า จึงไม่ใช่การเกาถูกที่คันในการแก้ปัญหาค่าครองชีพนัก เพราะสินค้าแทบไม่มีต้นทุนลดลงเลย และราคาลดแค่เศษเสี้ยวสตางค์เท่านั้น นโยบายการแก้ปัญหาราคาสินค้าชุดแรกของรัฐบาลจึงสอบตก ราคาน้ำมันจึงเหมือนแค่รำแก้บน หมอลำซิ่ง จากที่เคยหาเสียงไว้เท่านั้น
ข้อเสนอของผู้ผลิตสินค้าที่เสนอให้รัฐบาลดูแลและแก้ไขการลดราคาสินค้าให้ถูกทางมีอยู่หลายข้อด้วยกัน สำหรับผู้ประกอบการกลุ่มขนส่งได้ร้องเรียนให้รัฐเร่งแก้ปัญหาส่วยรถบรรทุก ที่ถือเป็นต้นทุนสำคัญของการขนส่งสินค้า เพราะในแต่ละเดือนผู้ประกอบการต้องจ่ายให้ตำรวจนับแสน ๆ บาท เพื่อซื้อสติกเกอร์มาติดไว้หน้ารถป้องกันการถูกจับกุม ซึ่งคิดเป็นต้นทุน 15-20% ของการขนส่งเลยทีเดียว โดยหากขจัดปัญหาส่วยไปได้ ต้นทุนค่าขนส่งจะลดลงยิ่งกว่าราคาดีเซล
ต่อมาคือการช่วยลดราคาสินค้าต้นน้ำที่เป็นต้นทุนการผลิตสินค้าอื่น ๆ เช่น อาหารเลี้ยงสัตว์ที่ผู้ประกอบการได้ร้องขอให้รัฐบาลช่วยลดภาษีนำเข้ากากถั่วเหลืองลง 2% เหลือ 0% เพื่อทำให้ราคาอาหารสัตว์ถูกลง และจะช่วยให้ราคาอาหาร เนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ ลดลงตามไปด้วย รวมถึงน้ำตาลทราย ที่เป็นต้นทุนสำคัญในการผลิตเครื่องดื่ม นมสด นมข้นหวาน ขนม และอาหารอีกหลายชนิด หากรัฐบาลมีนโยบายทำให้ถูกลง สินค้ากลุ่มเหล่านี้ก็จะลดลงตามได้อย่างแน่นอน
แม้ข้อเสนอเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ บรรดาข้าราชการและคนในวงการจะเข้าใจรู้เรื่องอยู่เต็มอก แต่ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายการเมืองจะจริงใจเข้าไปแก้ไขมากน้อยแค่ไหน เพราะหลายปัญหาแก้ได้ยากเหมือน “หยิกเล็บเจ็บเนื้อ” อาจเกิดแรงกระเพื่อมใหญ่ตามมาได้ อย่างเรื่องส่วยทางหลวงสติกเกอร์ ที่วันนี้รัฐบาลยังเลือก ทำหูหนวก ตาบอด ไม่ได้ยิน มองไม่เห็นต่อไป ทั้งที่ชาวบ้านชาวเมืองรู้กันทั้งบาง
อย่างกรณีปัญหาน้ำตาลทราย การที่รัฐบาลปล่อยให้จัดเก็บเงินจากผู้บริโภค กก.ละ 5 บาท เข้าไปชดเชยเงินในกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อนำเงินไปแทรกแซงราคาอ้อยช่วยเหลือเกษตรกร ถือว่าเป็นธรรมหรือไม่ ที่จะต้องโยนภาระมาให้ประชาชนทั้งประเทศแบบนี้ ยิ่งในช่วงปลายปีนี้ภาระชดเชยเงินเข้ากองทุนจะหมดลง ถ้ารัฐบาลตั้งใจจริงแก้ปัญหาจริง ก็ช่วยให้ราคาน้ำตาลลดลงได้ถึง กก.5 บาท แต่ก็เสี่ยงกระทบต่อกลุ่มผลประโยชน์ในวงการน้ำตาล ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของการเมืองไป
อีกแนวทางสำคัญที่ภาคเอกชนต้องการ คือ เสนอให้รัฐใช้กลไกตลาดควบคุมราคาสินค้ากันเอง ไม่อยากให้รัฐหรือกระทรวงพาณิชย์ เข้ามากำหนดแต่เพียงราคาสินค้าให้อยู่ในระดับที่ต่ำเพียงอย่างเดียว เพราะการกำหนดราคาสินค้าให้ถูก อาจจะทำให้คุณภาพสินค้าที่ผลิตออกมาสู่ผู้บริโภคแย่ และทำให้ประชาชนคนไทยซื้อสินค้าไปแล้วได้รับสินค้าที่มีคุณภาพต่ำ หรือหากมองอีกมุมการขายสินค้าในราคาถูกแสนถูกเท่านั้น อาจจะทำให้เอกชนรายเล็กไม่มีผลกำไรจากการประกอบธุรกิจ ก็คงไม่มีแรงจูงใจในการทำธุรกิจอีกต่อไป ในอนาคตก็คงต้องเลิกทำธุรกิจนี้ไปในที่สุด
ทั้งนี้เชื่อว่าหากราคาสินค้าถูกปรับขึ้นอย่างมีเหตุมีผล และทยอยปรับขึ้นเป็นลำดับ ประชาชนส่วนใหญ่จะยอมรับและปรับตัวได้ เช่น หากวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศสูงขึ้นจริง ก็อาจอนุญาตให้ปรับราคาแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ตรึงราคาท่าเดียวจนสินค้าขาดตลาด แต่ในทางเดียวกันหากต้นทุนลงก็ควรติดตามให้ราคาปลายทางลดลงด้วย ขณะเดียวกันรัฐบาลอาจจัดหาทางเลือกสินค้าราคาถูก สำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยเป็นครั้งคราวก็ถือเป็นแนวทางที่ทำได้
แต่สิ่งที่ประชาชนรับไม่ได้เลย และรัฐบาลต้องระมัดระวังให้ดี คือไม่ปล่อยให้ราคาสินค้าแพงขึ้นรวดเร็วอย่างไร้เหตุผล หรือขึ้นราคาแบบมีเรื่องชอบมาพากลซ่อนเร้นอยู่เหมือนรัฐบาลชุดก่อน ที่บริหารงานผิดพลาดปล่อยให้เกิดวิกฤติน้ำมันปาล์มขาดแคลน แถมราคาในตลาดมืดยังสูงลิบลิ่ว หรือปัญหาเนื้อหมู ไก่ ไข่ ราคาแพง เพราะมัวปล่อยให้นายทุนลักลอบส่งออกสินค้าไปเพื่อนบ้านหมด จนไม่เพียงพอกับการบริโภคในประเทศ
เนื่องจากปกติไทยสามารถผลิตอาหารได้เพียงพอกินพอใช้อยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับที่เราคนไทย จะต้องยอมกินของแพงเหมือนประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องขอนำเข้าจากบ้านเรา ดังนั้น การแก้ปัญหาการผูกขาดสินค้าจึงถือเป็นอีกวาระสำคัญที่รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขให้ได้โดยด่วน เพราะเป็นต้นตอสำคัญที่ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นโดยใช่เหตุ และนับวันจะทวีความรุนแรง แม้ดูเป็นเรื่องยากแต่เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง ของรัฐบาลซึ่งกุมเสียงในสภาเกินกึ่งหนึ่งที่จะทำ เว้นแต่ว่ากล้าพอไหม และจริงใจกันแค่ไหน
นักการเมืองทุกคนอย่าลืมว่า รัฐบาลชุดนี้มาพร้อมกับความคาดหวังในการแก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชน ทั้งจากตัวนโยบายหาเสียงที่ประกาศไว้ และความล้มเหลวการบริหารงานค่าครองชีพของรัฐบาลชุดก่อน ดังนั้นการแก้ปัญหาครองชีพจึงถือเป็นเรื่องเร่งด่วน!!! ที่รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งแก้ไขให้เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว และเป็นรูปธรรมกว่าที่เป็นอยู่ ไม่เช่นนั้นความคาดหวังของคนไทย อาจแปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวังจนทำให้รัฐบาลอายุสั้นกว่าที่ควรจะเป็นก็ได้...
ศักดิ์ชัย อินทร์จันทร์
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=310&contentID=162820
แต่บรรดาพ่อค้าแม่ค้าข้าวแกง-ก๋วยเตี๋ยว- น้ำปั่น หรือกระทั่งสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ยังคงคิดราคาแพงเหมือนเดิม มีเพียงแค่ 5 สินค้าเท่านั้นที่ยอมลดราคา คือ ปุ๋ยเคมี เครื่องปั๊มน้ำ ปูนซีเมนต์ กระเบื้องมุงหลังคา และแป้งสาลี ที่ยอมลดราคาลงมากู้หน้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ไว้บ้าง
ที่เหลือ...ยังไม่มีการลดราคา แถมยังฝากบอกกันมาอีกว่าไม่ขึ้นราคาก็ดีถมไป ทั้งที่รัฐบาลได้ส่งสัญญาณไปยังผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคทั่วประเทศ ให้ปรับลดราคาสินค้าลงทันทีเมื่อราคาน้ำมันลดลงก็ตาม
เสียงสะท้อนที่ออกมาจากบรรดาผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วประเทศ ทั้ง “เครือสหพัฒน์” และบริษัท “ยูนิลีเวอร์” ยักษ์ใหญ่แห่งวงการที่มีสินค้าในเครือกว่า 100 แบรนด์ นับหมื่น ๆ รายการ รวมถึงบริษัทผู้ผลิตระดับกลาง ต่างประสานเสียงพร้อมเพรียงกันว่า คงตามใจรัฐบาลไม่ได้ เพราะต้นทุนสินค้าจากการขนส่ง หรือจากราคาน้ำมัน มีสัดส่วนไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ สวนทางกับต้นทุนวัตถุดิบสินค้าที่ใช้ผลิตสินค้าในส่วนอื่นต่างทยอยขึ้นมาหมด และที่ผ่านมาเอกชนก็ยังยืนราคาเท่าเดิมมาตลอด ไม่เคยฉวยโอกาสขึ้นราคาแต่อย่างใด แม้ต้องกัดฟันรับกำไรจากการขายสินค้าน้อยลงก็ตาม
ขณะที่ผลการศึกษาของกระทรวงพาณิชย์ ถึงทิศทางราคาสินค้าอุปโภคบริโภคหลังจากรัฐปรับลดน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 3 บาท พบว่ามีเพียง 73 รายการที่มีต้นทุนลดลงจริง โดยที่ลดสูงสุด ได้แก่ รถยนต์นั่ง 1,600 ซีซี และรถบรรทุกเล็ก 2,500 ซีซี ลดได้ 84 บาท ต่ำสุดผ้าอนามัย ลดได้ 0.0008 บาท ขณะที่สินค้าจำเป็นอื่น ๆ เช่น เหล็กเส้นเอสอาร์ 24 ขนาด 99 มม.เส้น ลดได้ 15 สตางค์ กระดาษพิมพ์เขียน 60 แกรมต่อตัน ลดได้ 9.5 บาท โทรทัศน์ 21 นิ้ว ลดได้ 7.7 บาท
ส่วนที่เหลือ เช่น ยางรถยนต์ ปูนซีเมนต์ แบตเตอรี่ ตะปู ไม้อัด สังกะสี สายไฟฟ้า น้ำมันหล่อลื่น นมผง นมสด อาหารสัตว์ ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืช กระเบื้องใยหิน กาแฟสำเร็จรูป เครื่องแบบนักเรียน กระดาษชำระ น้ำมันปาล์ม น้ำส้มสายชู กระจก อะลูมิเนียม ผงชูรส น้ำดื่ม น้ำอัดลม แชมพู ถุงพลาสติก ยาสีฟัน แป้งเด็ก สบู่ ปลากระป๋อง ลดราคาได้แค่เศษเสี้ยวสตางค์เท่านั้น
ส่งผลให้การประชุมแก้ปัญหาราคาสินค้าระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กับผู้ประกอบการเกือบ 200 ราย เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 54 ที่มี ’ภูมิ สาระผล“ รมช.พาณิชย์ เป็นประธาน กลายเป็นหมัน ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เพราะมีสินค้าเพียง 5 รายการ ที่ยอมลดราคาลง 0.55-13.88% ได้แก่ ปูนซีเมนต์ถุง 50 กก. ลด 5-10 บาท จากราคาปัจจุบัน 135-140 บาท กระเบื้องมุงหลังคา ลดลงแผ่นละ 5 บาท จาก 36-40 บาท ปุ๋ยเคมีลดถุงละ 5-8 บาท จาก 905-1,010 บาท เครื่องปั๊มน้ำลด 100-200 บาท จาก 4,590 บาท และแป้งสาลี ลด 10 บาท จาก 477-698 บาท
ส่วนหมวดสินค้าอื่น ๆ ได้แก่ หมวดของใช้ประจำวัน เช่น ผงซักฟอก สบู่ ยาสีฟัน หรือหมวดอาหารและเครื่องดื่ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง จะช่วยตรึงราคาจำหน่ายไปจนถึงสิ้นปี เพราะสาเหตุส่วนหนึ่งสินค้ากลุ่มนี้ได้มีการทำสัญญาว่าจ้างการขนส่งกับผู้ประกอบการรับเหมาขนส่งไว้เป็นรายปี และทำสัญญากันล่วงหน้าจนถึงสิ้นปีแล้ว อีกทั้งราคาน้ำมันยังเป็นสัดส่วนแค่ 1-3% ของต้นทุนสินค้า โดยที่เหลือต้นทุนมาจากวัตถุดิบการผลิตเกินกว่า 50% รวมถึงค่าการตลาด ค่าแรงงาน เครื่องจักรอีกกว่า 40%
ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนยังให้มุมมองว่า ปัจจุบันการแข่งขันในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภครุนแรงมากขึ้น ทุกยี่ห้อต่างแข่งขันอัดโปรโมชั่นจำนวนมาก จึงไม่มีรายใดกล้าขึ้นราคามาก จนเสี่ยงกระทบยอดขายหดตัวลงแน่นอน เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยในปัจจุบัน ต่างให้ความสำคัญกับการพิจารณาเลือกซื้อสินค้าแต่ละแบรนด์มากขึ้น และตามความชื่นชอบส่วนตัว
บรรดาผู้เชี่ยวชาญในวงการราคาสินค้า ทั้ง “นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย” และ “นายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย” ยืนยันในทิศทางเดียวกัน นโยบายลดราคาน้ำมัน เพื่อส่งสัญญาณให้เอกชนในแวดวงสินค้าต่าง ๆ ลดราคานั้น คงไม่สามารถทำได้ เพราะราคาน้ำมันไม่ได้ลดลงตลอด และยังสวนทางกับนโยบายปรับขึ้นเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ค่าจ้างรายวันขึ้นต่ำเป็น 300 บาท ที่ทำให้ต้นทุนเอกชนสูงขึ้นทันทีถึง 30-50%
ขณะที่มุมมองของ ’บุญชัย โชควัฒนา“ ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูลย์ จำกัด มหาชน ผู้ผลิตสินค้าอุปโภครายใหญ่ของประเทศ ให้ความเห็นว่า บริษัทไม่สามารถลดราคาสินค้าได้ เพราะนโยบายลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินในประเทศถูกลงนั้น เป็นการลดชั่วคราวไม่กี่เดือนเท่านั้น หากให้เอกชนลดราคาสินค้าลงได้ทั้งตลาด ต้องมาจากราคาน้ำมันถูกลงเป็นเวลานาน หรือ ราคาน้ำมันดีเซลลงมาอยู่ที่ 25 บาทต่อลิตร
เรื่องนี้...จึงสะท้อนได้ว่านโยบายการปรับลดราคาน้ำมันดีเซล หรือเบนซินเพื่อกระตุ้นให้เกิดการปรับลดราคาสินค้า จึงไม่ใช่การเกาถูกที่คันในการแก้ปัญหาค่าครองชีพนัก เพราะสินค้าแทบไม่มีต้นทุนลดลงเลย และราคาลดแค่เศษเสี้ยวสตางค์เท่านั้น นโยบายการแก้ปัญหาราคาสินค้าชุดแรกของรัฐบาลจึงสอบตก ราคาน้ำมันจึงเหมือนแค่รำแก้บน หมอลำซิ่ง จากที่เคยหาเสียงไว้เท่านั้น
ข้อเสนอของผู้ผลิตสินค้าที่เสนอให้รัฐบาลดูแลและแก้ไขการลดราคาสินค้าให้ถูกทางมีอยู่หลายข้อด้วยกัน สำหรับผู้ประกอบการกลุ่มขนส่งได้ร้องเรียนให้รัฐเร่งแก้ปัญหาส่วยรถบรรทุก ที่ถือเป็นต้นทุนสำคัญของการขนส่งสินค้า เพราะในแต่ละเดือนผู้ประกอบการต้องจ่ายให้ตำรวจนับแสน ๆ บาท เพื่อซื้อสติกเกอร์มาติดไว้หน้ารถป้องกันการถูกจับกุม ซึ่งคิดเป็นต้นทุน 15-20% ของการขนส่งเลยทีเดียว โดยหากขจัดปัญหาส่วยไปได้ ต้นทุนค่าขนส่งจะลดลงยิ่งกว่าราคาดีเซล
ต่อมาคือการช่วยลดราคาสินค้าต้นน้ำที่เป็นต้นทุนการผลิตสินค้าอื่น ๆ เช่น อาหารเลี้ยงสัตว์ที่ผู้ประกอบการได้ร้องขอให้รัฐบาลช่วยลดภาษีนำเข้ากากถั่วเหลืองลง 2% เหลือ 0% เพื่อทำให้ราคาอาหารสัตว์ถูกลง และจะช่วยให้ราคาอาหาร เนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ ลดลงตามไปด้วย รวมถึงน้ำตาลทราย ที่เป็นต้นทุนสำคัญในการผลิตเครื่องดื่ม นมสด นมข้นหวาน ขนม และอาหารอีกหลายชนิด หากรัฐบาลมีนโยบายทำให้ถูกลง สินค้ากลุ่มเหล่านี้ก็จะลดลงตามได้อย่างแน่นอน
แม้ข้อเสนอเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ บรรดาข้าราชการและคนในวงการจะเข้าใจรู้เรื่องอยู่เต็มอก แต่ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายการเมืองจะจริงใจเข้าไปแก้ไขมากน้อยแค่ไหน เพราะหลายปัญหาแก้ได้ยากเหมือน “หยิกเล็บเจ็บเนื้อ” อาจเกิดแรงกระเพื่อมใหญ่ตามมาได้ อย่างเรื่องส่วยทางหลวงสติกเกอร์ ที่วันนี้รัฐบาลยังเลือก ทำหูหนวก ตาบอด ไม่ได้ยิน มองไม่เห็นต่อไป ทั้งที่ชาวบ้านชาวเมืองรู้กันทั้งบาง
อย่างกรณีปัญหาน้ำตาลทราย การที่รัฐบาลปล่อยให้จัดเก็บเงินจากผู้บริโภค กก.ละ 5 บาท เข้าไปชดเชยเงินในกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อนำเงินไปแทรกแซงราคาอ้อยช่วยเหลือเกษตรกร ถือว่าเป็นธรรมหรือไม่ ที่จะต้องโยนภาระมาให้ประชาชนทั้งประเทศแบบนี้ ยิ่งในช่วงปลายปีนี้ภาระชดเชยเงินเข้ากองทุนจะหมดลง ถ้ารัฐบาลตั้งใจจริงแก้ปัญหาจริง ก็ช่วยให้ราคาน้ำตาลลดลงได้ถึง กก.5 บาท แต่ก็เสี่ยงกระทบต่อกลุ่มผลประโยชน์ในวงการน้ำตาล ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของการเมืองไป
อีกแนวทางสำคัญที่ภาคเอกชนต้องการ คือ เสนอให้รัฐใช้กลไกตลาดควบคุมราคาสินค้ากันเอง ไม่อยากให้รัฐหรือกระทรวงพาณิชย์ เข้ามากำหนดแต่เพียงราคาสินค้าให้อยู่ในระดับที่ต่ำเพียงอย่างเดียว เพราะการกำหนดราคาสินค้าให้ถูก อาจจะทำให้คุณภาพสินค้าที่ผลิตออกมาสู่ผู้บริโภคแย่ และทำให้ประชาชนคนไทยซื้อสินค้าไปแล้วได้รับสินค้าที่มีคุณภาพต่ำ หรือหากมองอีกมุมการขายสินค้าในราคาถูกแสนถูกเท่านั้น อาจจะทำให้เอกชนรายเล็กไม่มีผลกำไรจากการประกอบธุรกิจ ก็คงไม่มีแรงจูงใจในการทำธุรกิจอีกต่อไป ในอนาคตก็คงต้องเลิกทำธุรกิจนี้ไปในที่สุด
ทั้งนี้เชื่อว่าหากราคาสินค้าถูกปรับขึ้นอย่างมีเหตุมีผล และทยอยปรับขึ้นเป็นลำดับ ประชาชนส่วนใหญ่จะยอมรับและปรับตัวได้ เช่น หากวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศสูงขึ้นจริง ก็อาจอนุญาตให้ปรับราคาแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ตรึงราคาท่าเดียวจนสินค้าขาดตลาด แต่ในทางเดียวกันหากต้นทุนลงก็ควรติดตามให้ราคาปลายทางลดลงด้วย ขณะเดียวกันรัฐบาลอาจจัดหาทางเลือกสินค้าราคาถูก สำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยเป็นครั้งคราวก็ถือเป็นแนวทางที่ทำได้
แต่สิ่งที่ประชาชนรับไม่ได้เลย และรัฐบาลต้องระมัดระวังให้ดี คือไม่ปล่อยให้ราคาสินค้าแพงขึ้นรวดเร็วอย่างไร้เหตุผล หรือขึ้นราคาแบบมีเรื่องชอบมาพากลซ่อนเร้นอยู่เหมือนรัฐบาลชุดก่อน ที่บริหารงานผิดพลาดปล่อยให้เกิดวิกฤติน้ำมันปาล์มขาดแคลน แถมราคาในตลาดมืดยังสูงลิบลิ่ว หรือปัญหาเนื้อหมู ไก่ ไข่ ราคาแพง เพราะมัวปล่อยให้นายทุนลักลอบส่งออกสินค้าไปเพื่อนบ้านหมด จนไม่เพียงพอกับการบริโภคในประเทศ
เนื่องจากปกติไทยสามารถผลิตอาหารได้เพียงพอกินพอใช้อยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับที่เราคนไทย จะต้องยอมกินของแพงเหมือนประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องขอนำเข้าจากบ้านเรา ดังนั้น การแก้ปัญหาการผูกขาดสินค้าจึงถือเป็นอีกวาระสำคัญที่รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขให้ได้โดยด่วน เพราะเป็นต้นตอสำคัญที่ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นโดยใช่เหตุ และนับวันจะทวีความรุนแรง แม้ดูเป็นเรื่องยากแต่เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง ของรัฐบาลซึ่งกุมเสียงในสภาเกินกึ่งหนึ่งที่จะทำ เว้นแต่ว่ากล้าพอไหม และจริงใจกันแค่ไหน
นักการเมืองทุกคนอย่าลืมว่า รัฐบาลชุดนี้มาพร้อมกับความคาดหวังในการแก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชน ทั้งจากตัวนโยบายหาเสียงที่ประกาศไว้ และความล้มเหลวการบริหารงานค่าครองชีพของรัฐบาลชุดก่อน ดังนั้นการแก้ปัญหาครองชีพจึงถือเป็นเรื่องเร่งด่วน!!! ที่รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งแก้ไขให้เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว และเป็นรูปธรรมกว่าที่เป็นอยู่ ไม่เช่นนั้นความคาดหวังของคนไทย อาจแปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวังจนทำให้รัฐบาลอายุสั้นกว่าที่ควรจะเป็นก็ได้...
ศักดิ์ชัย อินทร์จันทร์
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=310&contentID=162820
วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554
หยุดปั่นหัวประชาชนด้วยความเห็นผิด (สารส้ม)
หยุดปั่นหัวประชาชนด้วยความเห็นผิด (สารส้ม)
ลำพังถ้าใครจะบ้าอยู่ลำพังคนเดียว ก็คงไม่เดือดร้อนใคร...
หรือใครจะโง่อยู่คนเดียว ก็คงจะไม่หนักหัวใคร...
แต่ถ้าพยายามจะใช้ความคิดเห็นแบบบ้าๆ โง่ๆ นำไปปลุกระดม ปลุกปั่น สร้างความคาดหวังให้แก่ประชาชนในทางผิดๆ เพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของคนบางคน แบบนี้ประเทศชาติไม่มีวันสงบสุขแน่
ยิ่งถ้าคนพรรค์อย่างนี้ได้มีอำนาจ มีตำแหน่งใหญ่โต ก็น่าเป็นห่วงว่าจะ "ปั่นหัว" ประชาชน สร้างความเสียหายแก่ส่วนรวมได้มากขนาดไหน
1) พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน แพร่ข่าวออกไปยังประชาชนทั่วประเทศ เกี่ยวกับคดีที่ดินรัชดาของทักษิณ โดยบอกว่า ทักษิณไม่ได้ทำอะไรผิด ศาลแพ่งได้พิจารณาแล้วว่าไม่ได้มีการซื้อที่ดิน ทั้งยังมีการคืนเงินให้คุณหญิงพจมาน จึงสรุปได้ว่า ทักษิณไม่ได้ทำสัญญาใดๆ กับรัฐทั้งสิ้น ศาลฎีกาฯ จะต้องรับผิดชอบ เพราะเหตุการณ์เปลี่ยนไป จะต้องตัดสินใหม่
ฟังแล้วก็ได้แต่สังเวชใจ...
นี่หรือความคิดอ่านของคนที่เคยเป็นถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎร
หรือเพราะนักการเมืองใช้สติปัญญาพรรค์อย่างนี้หรือเปล่า บ้านเมืองของเรามันถึงได้เละตุ้มเป๊ะ?
2) เรื่องแบบนี้ มีหรือคนพรรค์อย่างเดียวกันจะพลาด...
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีเดียวกันนี้ด้วยว่า เมื่อศาลแพ่งตัดสินว่าสัญญาการซื้อขายที่ดินระหว่างคุณหญิงพจมานกับกองทุนฟื้นฟูฯ เป็นโมฆะ เท่ากับว่า ไม่มีการซื้อขาย ทุกอย่างต้องกลับไปสู่จุดเดิม และให้กองทุนฟื้นฟูฯ คืนเงินคุณหญิงพจมาน ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการซื้อขายแล้ว เพราะสัญญาเป็นโมฆะ แต่คดีที่ศาลฎีกาฯ สั่งจำคุก 2 ปี ในข้อหานี้ จะทำอย่างไรคดีนี้ต้องให้ความเป็นธรรม พ.ต.ท.ทักษิณ
ฟังแล้วก็อดนึกไม่ได้ว่า คนนี้น่ะหรือรองนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย!
ฉลาดจริง แกล้งโง่ หรือโง่จริงๆ หว่า?
3) ข้ออ้างของบริวารทักษิณที่ว่า เมื่อศาลแพ่งตัดสินว่าสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ ให้คืนเงินค่าที่ดินแก่คุณหญิงพจมานไปแล้ว เพราะฉะนั้น ทักษิณก็ต้องไม่มีความผิดด้วย เป็นการอ้างแบบ "จับแพะชนแกะ"
ส่อเจตนาที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริง และทำให้ศาลฎีกาฯ ถูกเข้าใจผิดโดยสาธารณชน และทำให้ประชาชนที่หลงเชื่อเกิดความคาดหวังผิดๆ ต่อศาลฎีกาฯ
คดีที่ดินรัชดาฯ นั้น ศาลฎีกาฯ พิพากษาไปแล้ว คดีถึงที่สุดไปแล้ว
จบไปแล้ว...
จบก็คือจบ...
จะให้ศาลฎีกาฯ กลับไปล้มล้างคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ เอง เพียงเพราะคำพิพากษาไม่เป็นคุณกับจำเลย หรือไม่เป็นที่ชอบใจของฝ่ายการเมืองพรรคพวกรัฐบาล ไม่อาจกระทำได้
ยิ่งกว่านั้น ในคดีดังกล่าว ทักษิณและทีมทนายความของเขา ได้ต่อสู้อย่างเต็มที่ ทุกวิถีทาง จ้างทนายเก่งๆ ก็แล้ว เอาเงินใส่ถุงขนมก็แล้ว แต่ก็ซื้อศาลไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องจำนนด้วยหลักฐานข้อเท็จจริง แล้วจึงหนีออกนอกประเทศ ไม่กลับมาจนถึงวันนี้
การที่ภายหลัง ศาลแพ่งตัดสินให้การซื้อขายเป็นโมฆะ คืนเงินให้เมียทักษิณ ก็ไม่ได้ขัดหรือแย้งกับคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับยิ่งสะท้อนชัดถึงการกระทำผิดของทักษิณ ชินวัตร ว่าได้เป็นตัวทำให้การซื้อที่ดินรัชดาฯ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ก็ถ้าทักษิณทำถูกกฎหมาย ศาลแพ่งจะให้คืนที่ดิน-คืนเงินกันไปทำไม
คิดง่ายๆ ไม่ต้องเป็นดอกเตอร์ก็คิดได้!
โจรขโมยควาย ตำรวจจับโจรได้ เอาควายไปคืนชาวบ้าน จะถือว่าโจรไม่ผิดแล้ว... งั้นหรือ?
ถ้าชายโฉดไปหลอกจดทะเบียนสมรสซ้อนกับสาวนางหนึ่ง หวังแบ่งสินสมรสกับฝ่ายหญิง แต่เมื่อถูกจับได้ว่าจดทะเบียนสมรสซ้อน การจดทะเบียนสมรสนี้ก็ถือเป็นโมฆะ ชายโฉดมันก็ต้องคืนสินสมรสที่ได้ไปจากฝ่ายหญิงทั้งหมด แล้วชายโฉดก็หาได้รอดพ้นจากความผิดฐานหลอกลวง หรือการกระทำผิดอื่นๆ ในระหว่างไปหลอกรับประทานเขา
4) ช่วงนี้ สังเกตว่ามีบริวารทักษิณขยันออกมาแสดงความเห็น หรือให้ข่าวในลักษณะที่เป็นสารปนเปื้อนทางสติปัญญาบ่อยครั้ง
คิดเล่นๆ ว่า อาจจะเป็นขบวนการ "รับจ้างถูกด่าแทนนายกฯ" กระมัง?
เพราะถ้าไม่มีข่าวสารประเด็นการเมืองอื่นๆ ขึ้นมากลบข่าวนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็เชื่อได้ว่า นายกฯ คนนี้ จะต้องถูกสื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ในการทำงานอย่างยับเยินยิ่งกว่านี้ ไม่ว่าจะเรื่องการโยกย้ายข้าราชการ การแก้ปัญหาน้ำท่วม หรือการบิดพลิ้วนโยบายหาเสียง ฯลฯ
แต่ที่อันตรายที่สุด คือ การที่คนในรัฐบาล หรือบริวารลิ่วล้อของทักษิณทั้งหลาย ใช้วิธีปั่นหัวผู้คนในสังคมด้วยความเห็นผิดๆ และมีการนำข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเช่นนี้ไปปลุกระดมอย่างเป็นขบวนการ สำทับด้วยการครอบงำ ปิดกั้น แทรกซื้อและแทรกแซงสื่อที่กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ย่อมจะสร้างความคาดหวังผิดๆ บนพื้นฐานความเข้าใจผิดต่อสถาบันสำคัญๆ (เช่น ศาลยุติธรรม และสถาบันเบื้องสูง) ให้แก่ประชาชนที่หลงเชื่อ
ผู้ใดหลงเชื่อโดยไม่ลืมหูลืมตา ไม่เปิดรับข้อมูลมุมอื่นบ้าง ก็จะกลายเป็นจิ้งหรีดที่ถูกเขาปั่นหัว กระทั่งพร้อมจะทำอะไรผิดๆ เพื่อผลประโยชน์ผิดๆ ของตัวนักการเมืองพรรค์อย่างนี้อีกต่อไปเรื่อยๆ
http://www.naewna.com/news.asp?ID=279153
ลำพังถ้าใครจะบ้าอยู่ลำพังคนเดียว ก็คงไม่เดือดร้อนใคร...
หรือใครจะโง่อยู่คนเดียว ก็คงจะไม่หนักหัวใคร...
แต่ถ้าพยายามจะใช้ความคิดเห็นแบบบ้าๆ โง่ๆ นำไปปลุกระดม ปลุกปั่น สร้างความคาดหวังให้แก่ประชาชนในทางผิดๆ เพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของคนบางคน แบบนี้ประเทศชาติไม่มีวันสงบสุขแน่
ยิ่งถ้าคนพรรค์อย่างนี้ได้มีอำนาจ มีตำแหน่งใหญ่โต ก็น่าเป็นห่วงว่าจะ "ปั่นหัว" ประชาชน สร้างความเสียหายแก่ส่วนรวมได้มากขนาดไหน
1) พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน แพร่ข่าวออกไปยังประชาชนทั่วประเทศ เกี่ยวกับคดีที่ดินรัชดาของทักษิณ โดยบอกว่า ทักษิณไม่ได้ทำอะไรผิด ศาลแพ่งได้พิจารณาแล้วว่าไม่ได้มีการซื้อที่ดิน ทั้งยังมีการคืนเงินให้คุณหญิงพจมาน จึงสรุปได้ว่า ทักษิณไม่ได้ทำสัญญาใดๆ กับรัฐทั้งสิ้น ศาลฎีกาฯ จะต้องรับผิดชอบ เพราะเหตุการณ์เปลี่ยนไป จะต้องตัดสินใหม่
ฟังแล้วก็ได้แต่สังเวชใจ...
นี่หรือความคิดอ่านของคนที่เคยเป็นถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎร
หรือเพราะนักการเมืองใช้สติปัญญาพรรค์อย่างนี้หรือเปล่า บ้านเมืองของเรามันถึงได้เละตุ้มเป๊ะ?
2) เรื่องแบบนี้ มีหรือคนพรรค์อย่างเดียวกันจะพลาด...
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีเดียวกันนี้ด้วยว่า เมื่อศาลแพ่งตัดสินว่าสัญญาการซื้อขายที่ดินระหว่างคุณหญิงพจมานกับกองทุนฟื้นฟูฯ เป็นโมฆะ เท่ากับว่า ไม่มีการซื้อขาย ทุกอย่างต้องกลับไปสู่จุดเดิม และให้กองทุนฟื้นฟูฯ คืนเงินคุณหญิงพจมาน ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการซื้อขายแล้ว เพราะสัญญาเป็นโมฆะ แต่คดีที่ศาลฎีกาฯ สั่งจำคุก 2 ปี ในข้อหานี้ จะทำอย่างไรคดีนี้ต้องให้ความเป็นธรรม พ.ต.ท.ทักษิณ
ฟังแล้วก็อดนึกไม่ได้ว่า คนนี้น่ะหรือรองนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย!
ฉลาดจริง แกล้งโง่ หรือโง่จริงๆ หว่า?
3) ข้ออ้างของบริวารทักษิณที่ว่า เมื่อศาลแพ่งตัดสินว่าสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ ให้คืนเงินค่าที่ดินแก่คุณหญิงพจมานไปแล้ว เพราะฉะนั้น ทักษิณก็ต้องไม่มีความผิดด้วย เป็นการอ้างแบบ "จับแพะชนแกะ"
ส่อเจตนาที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริง และทำให้ศาลฎีกาฯ ถูกเข้าใจผิดโดยสาธารณชน และทำให้ประชาชนที่หลงเชื่อเกิดความคาดหวังผิดๆ ต่อศาลฎีกาฯ
คดีที่ดินรัชดาฯ นั้น ศาลฎีกาฯ พิพากษาไปแล้ว คดีถึงที่สุดไปแล้ว
จบไปแล้ว...
จบก็คือจบ...
จะให้ศาลฎีกาฯ กลับไปล้มล้างคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ เอง เพียงเพราะคำพิพากษาไม่เป็นคุณกับจำเลย หรือไม่เป็นที่ชอบใจของฝ่ายการเมืองพรรคพวกรัฐบาล ไม่อาจกระทำได้
ยิ่งกว่านั้น ในคดีดังกล่าว ทักษิณและทีมทนายความของเขา ได้ต่อสู้อย่างเต็มที่ ทุกวิถีทาง จ้างทนายเก่งๆ ก็แล้ว เอาเงินใส่ถุงขนมก็แล้ว แต่ก็ซื้อศาลไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องจำนนด้วยหลักฐานข้อเท็จจริง แล้วจึงหนีออกนอกประเทศ ไม่กลับมาจนถึงวันนี้
การที่ภายหลัง ศาลแพ่งตัดสินให้การซื้อขายเป็นโมฆะ คืนเงินให้เมียทักษิณ ก็ไม่ได้ขัดหรือแย้งกับคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับยิ่งสะท้อนชัดถึงการกระทำผิดของทักษิณ ชินวัตร ว่าได้เป็นตัวทำให้การซื้อที่ดินรัชดาฯ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ก็ถ้าทักษิณทำถูกกฎหมาย ศาลแพ่งจะให้คืนที่ดิน-คืนเงินกันไปทำไม
คิดง่ายๆ ไม่ต้องเป็นดอกเตอร์ก็คิดได้!
โจรขโมยควาย ตำรวจจับโจรได้ เอาควายไปคืนชาวบ้าน จะถือว่าโจรไม่ผิดแล้ว... งั้นหรือ?
ถ้าชายโฉดไปหลอกจดทะเบียนสมรสซ้อนกับสาวนางหนึ่ง หวังแบ่งสินสมรสกับฝ่ายหญิง แต่เมื่อถูกจับได้ว่าจดทะเบียนสมรสซ้อน การจดทะเบียนสมรสนี้ก็ถือเป็นโมฆะ ชายโฉดมันก็ต้องคืนสินสมรสที่ได้ไปจากฝ่ายหญิงทั้งหมด แล้วชายโฉดก็หาได้รอดพ้นจากความผิดฐานหลอกลวง หรือการกระทำผิดอื่นๆ ในระหว่างไปหลอกรับประทานเขา
4) ช่วงนี้ สังเกตว่ามีบริวารทักษิณขยันออกมาแสดงความเห็น หรือให้ข่าวในลักษณะที่เป็นสารปนเปื้อนทางสติปัญญาบ่อยครั้ง
คิดเล่นๆ ว่า อาจจะเป็นขบวนการ "รับจ้างถูกด่าแทนนายกฯ" กระมัง?
เพราะถ้าไม่มีข่าวสารประเด็นการเมืองอื่นๆ ขึ้นมากลบข่าวนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็เชื่อได้ว่า นายกฯ คนนี้ จะต้องถูกสื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ในการทำงานอย่างยับเยินยิ่งกว่านี้ ไม่ว่าจะเรื่องการโยกย้ายข้าราชการ การแก้ปัญหาน้ำท่วม หรือการบิดพลิ้วนโยบายหาเสียง ฯลฯ
แต่ที่อันตรายที่สุด คือ การที่คนในรัฐบาล หรือบริวารลิ่วล้อของทักษิณทั้งหลาย ใช้วิธีปั่นหัวผู้คนในสังคมด้วยความเห็นผิดๆ และมีการนำข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเช่นนี้ไปปลุกระดมอย่างเป็นขบวนการ สำทับด้วยการครอบงำ ปิดกั้น แทรกซื้อและแทรกแซงสื่อที่กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ย่อมจะสร้างความคาดหวังผิดๆ บนพื้นฐานความเข้าใจผิดต่อสถาบันสำคัญๆ (เช่น ศาลยุติธรรม และสถาบันเบื้องสูง) ให้แก่ประชาชนที่หลงเชื่อ
ผู้ใดหลงเชื่อโดยไม่ลืมหูลืมตา ไม่เปิดรับข้อมูลมุมอื่นบ้าง ก็จะกลายเป็นจิ้งหรีดที่ถูกเขาปั่นหัว กระทั่งพร้อมจะทำอะไรผิดๆ เพื่อผลประโยชน์ผิดๆ ของตัวนักการเมืองพรรค์อย่างนี้อีกต่อไปเรื่อยๆ
http://www.naewna.com/news.asp?ID=279153
นี่'เหลิม-ดอกจิก'หรือ'ดร.ออฟลอว์'กันแน่!
นี่'เหลิม-ดอกจิก'หรือ'ดร.ออฟลอว์'กันแน่! โดย 'เสถียร วิริยะพรรณพงศา'
อาจจะเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าอยู่ ๆ มีคนบอกว่า อยากจะล้มคดีที่ศาลตัดสินแล้วเอามาตัดสินใหม่ทั้งหมด
ถ้าคนพูดไม่ใช่ระดับรองนายกรัฐมนตรีอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
ดอกเตอร์ออฟลอว์! แห่งบางบอน บอกว่า คำสั่งศาลแพ่ง ที่ให้การซื้อขายที่ดินรัชดาระหว่างคุณหญิงพจมาน และกองทุนฟื้นฟูเป็นโมฆะ ทำให้ความผิดของพ.ต.ท.ทักษิณ หายตามไปด้วย
เป็นการตัดตอนอย่างร้ายกาจ เพราะร.ต.อ.เฉลิม ไม่ยอมบอกว่า ที่ศาลแพ่งสั่งให้การซื้อขายเป็นโมฆะนั้น ก็เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำผิดกฎหมายปปช.มาก่อนหน้านี้
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ตัดสินจบแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดตามมาตรา 100 ของ ปปช. ที่ให้การกระทำเป็นความผิด เนื่องจากผู้กระทำเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งยังบัญญัติให้การกระทำของคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถือเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐเอง
คดีนี้จบไป โดยที่ศาลตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดลงโทษจำคุก 2 ปี
คดีจบแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ผิดแล้ว แต่ที่ค้างอยู่คือ “สัญญา”
กองทุนฟื้นฟูที่ขายที่ดินรัชดา ก็ฟ้องต่อศาลแพ่งว่า ให้การซื้อขายนี้เป็นโมฆะ
ศาลแพ่งก็บอกว่า เป็น “โมฆะ” เพราะมันเป็นสัญญาที่ทำไม่ถูกตั้งแต่ต้น
นี่แหล่ะคือประเด็นที่ “ดอกเตอร์ออฟลอว์” เฉือนมาครึ่งเดียว แล้วก็อธิบายเป็นเรื่องเป็นราวว่าในศาลแพ่งยกว่า การซื้อขายครั้งนั้นเป็นโมฆะ ก็เท่ากับว่าไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาก่อน ทุกอย่างกลับไปเริ่มที่ศูนย์
แต่ประเด็นคือมันจะกลับไปที่ศูนย์ไม่ได้ เพราะ “กรรม” ของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไปทำผิดกฎหมาย ปปช.นั้นยังอยู่
คำพิพากษาศาลฎีกานักการเมืองที่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ติดคุก 2 ปี ก็ยังอยู่ ฎีกาก็ไม่ได้ เพราะศาลนี้มีชั้นเดียว จะล้มได้ก็ต้องรอให้ทหารมายึดอำนาจ หรือไม่ก็ออกพรบ.นิรโทษกรรม
แต่ที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครนิรโทษกรรมเพื่อคน ๆ เดียว
เรื่องนี้ น่าสนใจตรงที่ว่า ประเด็นนี้ถูกเปิดขึ้นมา ในช่วงที่มีความเคลื่อนไหวเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความน่าสงสัยว่า มันเกื้อหนุนกันหรือไม่
เพราะเมื่อดูเงื่อนไขของการขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว บอกตามตรงว่า ยากเหลือเกินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินบนเส้นทางนี้
ข้อถกเถียงกันว่า การเป็นนักโทษหลบหนีคดีนั้น มีสิทธิ์ขอรับพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ ก็ยังไม่จบ
ถ้าดูกฎหมาย ก็เห็นชัดว่า ไม่เป็นใจอย่างยิ่ง
พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๔ ผู้ซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกานี้ต้องมีตัวอยู่ในความควบคุมของทางราชการ หรือถูกกักขังไว้ในสถานที่หรือที่อาศัยที่ศาลหรือทางราชการกำหนดในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับติดต่อกันไปจนถึงวันที่ศาลออกหมายสั่งปล่อยหรือลดโทษ หรือนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งปล่อยหรือลดโทษตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกานี้ เว้นแต่ผู้ทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ และผู้ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 260 ผู้มีเรื่องราวซึ่งต้องจำคุกอยู่ในเรือนจำ จะยื่นเรื่องราวต่อพัศดีหรือผู้บัญชาการเรือนจำก็ได้ เมื่อได้รับเรื่องราวนั้นแล้ว ให้พัศดีหรือผู้บัญชาการเรือนจำออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นเรื่องราว แล้วให้รีบส่งเรื่องราวนั้นไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
กฎหมายระบุว่า ถ้าจะขอพระราชทานอภัยโทษ ต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำ ดังนั้นจึงพอจะเชื่อมโยงได้ว่า ร.ต.อ.เฉลิม ก็เลยต้องออกมาบอกว่า ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เข้าไปรับโทษก็เพราะ “ไม่ผิด” ตั้งแต่ต้น
เพื่อแง้มช่องว่างเล็ก ๆ ของกฎหมาย เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ภารกิจสู้เพื่อนายใหญ่ทำให้ “ดอกเตอร์ออฟลอว์” ถูกมองเป็นตัวตลก
จะไปแข่งกับเจ๋ง ดอกจิก หรือยังไงท่านรอง...
อาจจะเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าอยู่ ๆ มีคนบอกว่า อยากจะล้มคดีที่ศาลตัดสินแล้วเอามาตัดสินใหม่ทั้งหมด
ถ้าคนพูดไม่ใช่ระดับรองนายกรัฐมนตรีอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
ดอกเตอร์ออฟลอว์! แห่งบางบอน บอกว่า คำสั่งศาลแพ่ง ที่ให้การซื้อขายที่ดินรัชดาระหว่างคุณหญิงพจมาน และกองทุนฟื้นฟูเป็นโมฆะ ทำให้ความผิดของพ.ต.ท.ทักษิณ หายตามไปด้วย
เป็นการตัดตอนอย่างร้ายกาจ เพราะร.ต.อ.เฉลิม ไม่ยอมบอกว่า ที่ศาลแพ่งสั่งให้การซื้อขายเป็นโมฆะนั้น ก็เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำผิดกฎหมายปปช.มาก่อนหน้านี้
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ตัดสินจบแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดตามมาตรา 100 ของ ปปช. ที่ให้การกระทำเป็นความผิด เนื่องจากผู้กระทำเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งยังบัญญัติให้การกระทำของคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถือเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐเอง
คดีนี้จบไป โดยที่ศาลตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดลงโทษจำคุก 2 ปี
คดีจบแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ผิดแล้ว แต่ที่ค้างอยู่คือ “สัญญา”
กองทุนฟื้นฟูที่ขายที่ดินรัชดา ก็ฟ้องต่อศาลแพ่งว่า ให้การซื้อขายนี้เป็นโมฆะ
ศาลแพ่งก็บอกว่า เป็น “โมฆะ” เพราะมันเป็นสัญญาที่ทำไม่ถูกตั้งแต่ต้น
นี่แหล่ะคือประเด็นที่ “ดอกเตอร์ออฟลอว์” เฉือนมาครึ่งเดียว แล้วก็อธิบายเป็นเรื่องเป็นราวว่าในศาลแพ่งยกว่า การซื้อขายครั้งนั้นเป็นโมฆะ ก็เท่ากับว่าไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาก่อน ทุกอย่างกลับไปเริ่มที่ศูนย์
แต่ประเด็นคือมันจะกลับไปที่ศูนย์ไม่ได้ เพราะ “กรรม” ของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไปทำผิดกฎหมาย ปปช.นั้นยังอยู่
คำพิพากษาศาลฎีกานักการเมืองที่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ติดคุก 2 ปี ก็ยังอยู่ ฎีกาก็ไม่ได้ เพราะศาลนี้มีชั้นเดียว จะล้มได้ก็ต้องรอให้ทหารมายึดอำนาจ หรือไม่ก็ออกพรบ.นิรโทษกรรม
แต่ที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครนิรโทษกรรมเพื่อคน ๆ เดียว
เรื่องนี้ น่าสนใจตรงที่ว่า ประเด็นนี้ถูกเปิดขึ้นมา ในช่วงที่มีความเคลื่อนไหวเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความน่าสงสัยว่า มันเกื้อหนุนกันหรือไม่
เพราะเมื่อดูเงื่อนไขของการขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว บอกตามตรงว่า ยากเหลือเกินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินบนเส้นทางนี้
ข้อถกเถียงกันว่า การเป็นนักโทษหลบหนีคดีนั้น มีสิทธิ์ขอรับพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ ก็ยังไม่จบ
ถ้าดูกฎหมาย ก็เห็นชัดว่า ไม่เป็นใจอย่างยิ่ง
พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๔ ผู้ซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกานี้ต้องมีตัวอยู่ในความควบคุมของทางราชการ หรือถูกกักขังไว้ในสถานที่หรือที่อาศัยที่ศาลหรือทางราชการกำหนดในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับติดต่อกันไปจนถึงวันที่ศาลออกหมายสั่งปล่อยหรือลดโทษ หรือนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งปล่อยหรือลดโทษตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกานี้ เว้นแต่ผู้ทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ และผู้ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 260 ผู้มีเรื่องราวซึ่งต้องจำคุกอยู่ในเรือนจำ จะยื่นเรื่องราวต่อพัศดีหรือผู้บัญชาการเรือนจำก็ได้ เมื่อได้รับเรื่องราวนั้นแล้ว ให้พัศดีหรือผู้บัญชาการเรือนจำออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นเรื่องราว แล้วให้รีบส่งเรื่องราวนั้นไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
กฎหมายระบุว่า ถ้าจะขอพระราชทานอภัยโทษ ต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำ ดังนั้นจึงพอจะเชื่อมโยงได้ว่า ร.ต.อ.เฉลิม ก็เลยต้องออกมาบอกว่า ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เข้าไปรับโทษก็เพราะ “ไม่ผิด” ตั้งแต่ต้น
เพื่อแง้มช่องว่างเล็ก ๆ ของกฎหมาย เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ภารกิจสู้เพื่อนายใหญ่ทำให้ “ดอกเตอร์ออฟลอว์” ถูกมองเป็นตัวตลก
จะไปแข่งกับเจ๋ง ดอกจิก หรือยังไงท่านรอง...
วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554
กล้าดี...ก็ลองดู บทความพิเศษ แก้วสรร อติโพธิ
กล้าดี...ก็ลองดู บทความพิเศษ แก้วสรร อติโพธิ
ถาม ทราบมาว่ากำลังมีการพูดคุยเตรียมงานกระบวนการถอดถอน 3 ป.คือ นายกฯ ปู, รองฯ เป็ดเหลิม และรัฐมนตรีประชา จากกรณีฎีกาแดง ที่ขอพระราชทานอภัยโทษให้คุณทักษิณ ใช่หรือไม่
ตอบ ถ้า 3 ป. นี้กล้านำฎีกาแดงขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย โดยถวายคำแนะนำให้พระราชทานอภัยโทษคุณทักษิณ ก็ต้องเจอคำร้องของประชาชนที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 เข้าชื่อกันสองหมื่นคนขึ้นไป ขอให้วุฒิสภาถอดถอนจากตำแหน่ง ฐาน “มีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย” อย่างแน่นอน
ถาม เอาสักสามล้านชื่อเท่าคนเสื้อแดงในฎีกาแดงจะได้ไหม
ตอบ ได้สองหมื่นก็ยื่นทันที อย่าไปเคลื่อนไหวล่าชื่ออะไรให้มาก ต้องเข้าใจว่านี่เป็นกระบวนการทางกฎหมายไม่ใช่การเมือง มีไว้เพื่อเป็นทางออกของสังคม จะได้ไม่ต้องใช้การเมืองข้างถนนจนบ้านเมืองระส่ำระสาย
ถาม เอาฐานทางกฎหมายอะไรไปกล่าวหาว่า 3 ป.ใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อกฎหมาย ก็รองฯ เป็ดเขาประกาศแล้วนี่ครับว่า เรื่องการอภัยโทษนี่ คนหนีคุกก็อภัยได้ ไม่เห็นมีกฎหมายห้ามไว้ที่ตรงไหน ใครหน้าไหนก็อย่ามาขวางมิให้ฎีกาแดงนี้ไปถึงในหลวงได้ อย่าเป็นอันขาด
ตอบ ถ้าเป็นแดนเอกชนคือเรื่องส่วนบุคคล เช่น รองฯ เป็ดจะทำสัญญาเล่นแชร์เปียหวยกับพรรคพวกก็ย่อมทำได้ กฎหมายก็รับบังคับให้ตามเจตนาทั้งๆ ที่ในประมวลกฎหมายแพ่งฯ ส่วนที่ว่าด้วยเอกเทศสัญญานั้น ไม่มีบทบัญญัติรองรับสัญญาเล่นแชร์อยู่เลยก็ตาม เหตุทั้งนี้ก็เพราะแดนเอกชนนี้ เป็นเรื่องส่วนตัวเป็นเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ถ้ากฎหมายไม่ห้าม แต่ถ้ารองฯ เป็ด ออกจากบ้านมานั่งที่ทำเนียบฯ สวมอำนาจหน้าที่สาธารณะแล้ว ตรงนี้เป็นแดนมหาชน ที่กฎหมายมหาชนวางฐานคิดไว้ไม่เหมือนกฎหมายเอกชน ถ้า รองฯ เป็ดแตกฉานกฎหมายจริงดั่งอ้างก็ต้องรู้พื้นฐานนี้
ถาม พื้นฐานอะไร
ตอบ กฎหมายมหาชนยึดถือนิติรัฐ ไม่ใช่นิติลัด กำหนดให้ชาวบ้านเคารพกฎหมายไม่ใช่เคารพคนที่ใช้กฎหมาย ถ้ารองฯ เป็ดสั่งการใดโดยนอกเหนือกฎหมาย ชาวบ้านก็โต้แย้งปฏิเสธความผูกพันได้เสมอ รองฯ เป็ดจะอ้างว่าตัวเองเป็นดาวฤกษ์มีแสงมีอำนาจอยู่ในตัว ถ้ากฎหมายไม่ห้ามไว้ รองฯ เป็ดย่อมทำได้ทุกอย่าง อย่างนี้ไม่ได้
ถาม รองฯ เป็ดเขาบอกว่า เรื่องอภัยโทษนี่เป็นพระราชอำนาจแล้วแต่จะทรงพระกรุณาหรือไม่ ไม่ใช่หรือ
ตอบ หลัก The King can do no wrong นี่นำมาใช้นำมาเข้าใจกันลวกๆผิดๆ อยู่เสมอ ในหลวงเองท่านก็เคยทรงเปรยๆ ตำหนิมาครั้งหนึ่งแล้ว รองฯ เป็ดควรต้องเข้าใจระบบผู้รับสนองพระบรมราชโองการให้ดีว่า อำนาจอภัยโทษนี้ต้องมีฝ่ายบริหารคือ นายกฯ รัฐมนตรี เป็นผู้นำฎีกาและข้อมูลพร้อมความเห็นของรัฐมนตรียุติธรรม ขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงวินิจฉัย เมื่อทรงวินิจฉัยอย่างไร นายกรัฐมนตรีก็จะรับสนองพระบรมราชโองการอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งขั้นตอนในชั้นฝ่ายบริหารนี้มันมีกฎหมาย มีระเบียบ และธรรมเนียมวางเป็นแนวเป็นทางไว้ชัดเจนอยู่แล้ว
โดยระบบรับสนองพระบรมราชโองการเช่นที่กล่าวมา รัฐมนตรี 3 ป. ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องก่อน จะรับแล้วโยนฎีกาอะไรให้ในหลวงง่ายๆ โดยบอกว่า“เป็นพระราชอำนาจ แล้วแต่จะทรงพระกรุณา” ไม่ได้การจัดการกับฎีกาแดงให้ถูกต้องเสียก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าถวายเช่นนี้ จึงเป็นการปฏิบัติราชการชนิดหนึ่งที่ต้องทำ และต้องทำให้ถูกต้องตามครรลองที่มีอยู่แล้ว ซึ่งถ้า 3 ป.นี้จงใจฝ่าฝืนกฎหมายเมื่อใดก็ถูกถอดถอนได้
ถาม “การจัดการกับฎีกาให้ถูกต้อง” นี้ หมายถึงการจัดการใดบ้าง
ตอบ ถ้าดูทั้งกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา,กฎหมายราชทัณฑ์,ระเบียบและแนวปฏิบัติของกรมราชทัณฑ์และเรือนจำแล้ว ฎีกาแดงนี้มีปัญหาดังนี้
1.เจ้าของฎีกาไม่ถูกต้อง
2.ไม่มีกฎเกณฑ์ของราชทัณฑ์รองรับการยกโทษให้คนหนีคดี
3.ขัดต่อหลักการปกครองโดยกฎหมาย
ถาม คนเสื้อแดงตั้งสามล้านคนเป็นเจ้าของฎีกาไม่ได้หรือ
ตอบ การขอพระราชทานอภัยโทษเป็นการสื่อสารตรงระหว่างผู้ต้องโทษหรือคนในครอบครัวกับพระมหากรุณาธิคุณ ไม่ใช่เรื่องของคนนอก ซึ่งฎีกาแดงนี้กรมราชทัณฑ์ตรวจสอบแล้ว พบว่าชื่อ 3 ล้านชื่อ มีคนจริงๆ อยู่ 2 ล้านคน
เป็น ”ชินวัตร” 3 คน มีที่นับเป็นคนในครอบครัวได้คนเดียวคือ น้องชายคุณทักษิณ ชื่อ พายัพ ชินวัตร ซึ่งจนป่านนี้ก็ยังไม่มายืนยันฎีกาตามที่ทางกรมเขาเรียกไป เรื่องถึงได้ช้าอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่แก้ไขให้ถูกต้องตรงนี้ก็เดินเรื่องต่อไปไม่ได้
ถาม เห็นมีข่าวว่าคุณพายัพเขาพร้อมจะมายืนยันแล้วนะครับ
ตอบ ถ้ามาจริงๆ ลูกบอลก็จะไหลมาเข้าเท้ากรมราชทัณฑ์ว่า ต้องรวบรวมข้อมูลและทำความเห็นเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นชั้นแรกก่อน ซึ่งตรงนี้ก็จะพบว่า หลักเกณฑ์ วิธีปฏิบัติทั้งปวงที่มีอยู่ ล้วนวางไว้สำหรับกรณีผู้ต้องคำพิพากษากำลังถูกบังคับโทษอยู่ทั้งสิ้น แล้วจึงมีข้อมูลในระหว่างถูกบังคับโทษมาอ้างอิงขอพระราชทานอภัยโทษทั้งสิ้น (ยกเว้นกรณีรอการประหารชีวิต ที่ขอพระราชทานอภัยโทษได้โดยพลันใน 60 วัน)
ถาม แล้วกรณีฎีกาแดงนี้ กรมราชทัณฑ์จะทำอย่างไร
ตอบ ก็ต้องรายงานตามตรงว่าไม่มีกฎหมายและระเบียบราชทัณฑ์รองรับ ข้างรัฐมนตรียุติธรรมและนายกรัฐมนตรีก็ต้องสั่งระงับฎีกานั้นไป ทราบว่าที่ผ่านมาก็ทำกันเช่นนี้หลายครั้งแล้ว กรณีฎีกาแดงนี้ถ้าไม่สองมาตรฐานก็ต้องสั่งระงับไปเช่นกัน และด้วยเหตุเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อระงับแล้ว นายกฯ ก็ควรถวายรายงานให้ทรงทราบด้วยอีกทางหนึ่ง
ถาม พวกเสื้อแดงจะโวยวายได้ไหมว่าฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจระงับฎีกาของตน
ตอบ หน้าที่ของฝ่ายบริหารคือต้องตรวจทานฎีกาให้ถูกต้องตรงตามครรลองของกระบวนการยุติธรรมที่วางไว้ชัดเจนแล้ว ซึ่งเมื่อไม่มีกฎเกณฑ์รองรับเลยก็เสนอไปไม่ได้ คุณจะเอาของเถื่อนไปถวายให้ทรงใช้พระราชอำนาจอย่างนั้นหรือ
ถาม ก็รองฯ เป็ดเขายืนยันนอนยันว่าเป็นพระราชอำนาจ เราจะไประงับฎีกาไม่ได้
ตอบ นั่นเป็นชั้นทรงพระราชวินิจฉัย ที่แล้วแต่จะทรงพระกรุณา แต่ในชั้นบริหารมันต้องกลั่นกรองให้ถูกต้องเสียก่อน เพราะคุณคือผู้รับผิดชอบในฐานะผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แล้วที่พร่ำก้าบๆ อ้างว่ากฎหมายไม่ห้ามๆๆ..อยู่นั่นน่ะ รองฯ เป็ดไม่เห็นหรือว่า คำขอตามฎีกานี้มันขัดต่อหลักการปกครองโดยกฎหมายของระบบนิติรัฐอย่างชัดเจนมาก..มันยิ่งกว่า “ไม่ห้าม” เสียอีกนะคุณ
ถาม ขัดอย่างไร
ตอบ การอภัยโทษเป็นเรื่องต้องโทษแล้วสำนึกผิดกลับตัวกลับใจ มีพัฒนาการที่ดีในคุกหรือมีเหตุเฉพาะตัวอื่นๆ เช่น เจ็บป่วยใกล้ตาย ทั้งหมดนี้เป็นเหตุเฉพาะตัวที่เกิดขึ้นหลังพิพากษา จึงขออภัยโทษเป็นการเฉพาะรายได้ แต่การต้องโทษแล้วหนีคดีนั้น พฤติการณ์ในคดีศาลตัดสินไปแล้วว่าผิด เหตุลดหย่อนเฉพาะตัวถ้ามี ศาลก็ดูไปแล้วว่ามีหรือไม่ ขั้นต่อไปก็ต้องเข้าคุกก่อน ถ้าเรายอมให้พ้นโทษได้โดยไม่ต้องโทษใดเลย อย่างนี้ไม่ใช่การอภัยโทษแล้วล่ะครับ มันเท่ากับเรายอมให้ 3 ป.ใช้อำนาจบริหารมาทำลายผลคำพิพากษาอันเป็นที่สุดเลยนั่นเอง
ถาม แล้วมันเสียหายอย่างไร
ตอบ มันไม่เสมอภาคชัดๆ คนอื่นศาลพิพากษาว่าทำผิดก็ติดคุก แต่คนนี้ไม่ต้องไม่ต้องก็เพราะอำนาจตุลาการหมดความเด็ดขาด ตัดสินเด็ดขาดแล้วก็ไม่ยุติ ดันมีอำนาจบริหารโผล่มาทำลายผลคำพิพากษาได้เสียอีก
หลักความเสมอภาคภายใต้กฎหมายและหลักแบ่งแยกอำนาจนี้ รัฐธรรมนูญไทยอาราธนามาเป็นเสาเอกของระบบนิติรัฐไทยเนิ่นนานแล้ว มีบทบัญญัติปรากฏให้เห็นอยู่หลายมาตรา ถ้า 3 ป. ขืนเดินหน้าถวายฎีกาพร้อมความเห็นให้คุณทักษิณพ้นคำพิพากษาเมื่อใด ก็โดนข้อหาจงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแน่นอน
ถาม เขาทำหน้าตายส่งฎีกาไปโดยไม่ถวายความเห็นประกอบได้ไหม
ตอบ ก็เพิ่มอีกข้อหาหนึ่ง คือจงใจละเว้นไม่ทำหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด โยนความรับผิดชอบให้พระเจ้าแผ่นดินโดยมิบังควร
กล้าดี...ก็ลองดู
ถาม ทราบมาว่ากำลังมีการพูดคุยเตรียมงานกระบวนการถอดถอน 3 ป.คือ นายกฯ ปู, รองฯ เป็ดเหลิม และรัฐมนตรีประชา จากกรณีฎีกาแดง ที่ขอพระราชทานอภัยโทษให้คุณทักษิณ ใช่หรือไม่
ตอบ ถ้า 3 ป. นี้กล้านำฎีกาแดงขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย โดยถวายคำแนะนำให้พระราชทานอภัยโทษคุณทักษิณ ก็ต้องเจอคำร้องของประชาชนที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 เข้าชื่อกันสองหมื่นคนขึ้นไป ขอให้วุฒิสภาถอดถอนจากตำแหน่ง ฐาน “มีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย” อย่างแน่นอน
ถาม เอาสักสามล้านชื่อเท่าคนเสื้อแดงในฎีกาแดงจะได้ไหม
ตอบ ได้สองหมื่นก็ยื่นทันที อย่าไปเคลื่อนไหวล่าชื่ออะไรให้มาก ต้องเข้าใจว่านี่เป็นกระบวนการทางกฎหมายไม่ใช่การเมือง มีไว้เพื่อเป็นทางออกของสังคม จะได้ไม่ต้องใช้การเมืองข้างถนนจนบ้านเมืองระส่ำระสาย
ถาม เอาฐานทางกฎหมายอะไรไปกล่าวหาว่า 3 ป.ใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อกฎหมาย ก็รองฯ เป็ดเขาประกาศแล้วนี่ครับว่า เรื่องการอภัยโทษนี่ คนหนีคุกก็อภัยได้ ไม่เห็นมีกฎหมายห้ามไว้ที่ตรงไหน ใครหน้าไหนก็อย่ามาขวางมิให้ฎีกาแดงนี้ไปถึงในหลวงได้ อย่าเป็นอันขาด
ตอบ ถ้าเป็นแดนเอกชนคือเรื่องส่วนบุคคล เช่น รองฯ เป็ดจะทำสัญญาเล่นแชร์เปียหวยกับพรรคพวกก็ย่อมทำได้ กฎหมายก็รับบังคับให้ตามเจตนาทั้งๆ ที่ในประมวลกฎหมายแพ่งฯ ส่วนที่ว่าด้วยเอกเทศสัญญานั้น ไม่มีบทบัญญัติรองรับสัญญาเล่นแชร์อยู่เลยก็ตาม เหตุทั้งนี้ก็เพราะแดนเอกชนนี้ เป็นเรื่องส่วนตัวเป็นเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ถ้ากฎหมายไม่ห้าม แต่ถ้ารองฯ เป็ด ออกจากบ้านมานั่งที่ทำเนียบฯ สวมอำนาจหน้าที่สาธารณะแล้ว ตรงนี้เป็นแดนมหาชน ที่กฎหมายมหาชนวางฐานคิดไว้ไม่เหมือนกฎหมายเอกชน ถ้า รองฯ เป็ดแตกฉานกฎหมายจริงดั่งอ้างก็ต้องรู้พื้นฐานนี้
ถาม พื้นฐานอะไร
ตอบ กฎหมายมหาชนยึดถือนิติรัฐ ไม่ใช่นิติลัด กำหนดให้ชาวบ้านเคารพกฎหมายไม่ใช่เคารพคนที่ใช้กฎหมาย ถ้ารองฯ เป็ดสั่งการใดโดยนอกเหนือกฎหมาย ชาวบ้านก็โต้แย้งปฏิเสธความผูกพันได้เสมอ รองฯ เป็ดจะอ้างว่าตัวเองเป็นดาวฤกษ์มีแสงมีอำนาจอยู่ในตัว ถ้ากฎหมายไม่ห้ามไว้ รองฯ เป็ดย่อมทำได้ทุกอย่าง อย่างนี้ไม่ได้
ถาม รองฯ เป็ดเขาบอกว่า เรื่องอภัยโทษนี่เป็นพระราชอำนาจแล้วแต่จะทรงพระกรุณาหรือไม่ ไม่ใช่หรือ
ตอบ หลัก The King can do no wrong นี่นำมาใช้นำมาเข้าใจกันลวกๆผิดๆ อยู่เสมอ ในหลวงเองท่านก็เคยทรงเปรยๆ ตำหนิมาครั้งหนึ่งแล้ว รองฯ เป็ดควรต้องเข้าใจระบบผู้รับสนองพระบรมราชโองการให้ดีว่า อำนาจอภัยโทษนี้ต้องมีฝ่ายบริหารคือ นายกฯ รัฐมนตรี เป็นผู้นำฎีกาและข้อมูลพร้อมความเห็นของรัฐมนตรียุติธรรม ขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงวินิจฉัย เมื่อทรงวินิจฉัยอย่างไร นายกรัฐมนตรีก็จะรับสนองพระบรมราชโองการอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งขั้นตอนในชั้นฝ่ายบริหารนี้มันมีกฎหมาย มีระเบียบ และธรรมเนียมวางเป็นแนวเป็นทางไว้ชัดเจนอยู่แล้ว
โดยระบบรับสนองพระบรมราชโองการเช่นที่กล่าวมา รัฐมนตรี 3 ป. ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องก่อน จะรับแล้วโยนฎีกาอะไรให้ในหลวงง่ายๆ โดยบอกว่า“เป็นพระราชอำนาจ แล้วแต่จะทรงพระกรุณา” ไม่ได้การจัดการกับฎีกาแดงให้ถูกต้องเสียก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าถวายเช่นนี้ จึงเป็นการปฏิบัติราชการชนิดหนึ่งที่ต้องทำ และต้องทำให้ถูกต้องตามครรลองที่มีอยู่แล้ว ซึ่งถ้า 3 ป.นี้จงใจฝ่าฝืนกฎหมายเมื่อใดก็ถูกถอดถอนได้
ถาม “การจัดการกับฎีกาให้ถูกต้อง” นี้ หมายถึงการจัดการใดบ้าง
ตอบ ถ้าดูทั้งกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา,กฎหมายราชทัณฑ์,ระเบียบและแนวปฏิบัติของกรมราชทัณฑ์และเรือนจำแล้ว ฎีกาแดงนี้มีปัญหาดังนี้
1.เจ้าของฎีกาไม่ถูกต้อง
2.ไม่มีกฎเกณฑ์ของราชทัณฑ์รองรับการยกโทษให้คนหนีคดี
3.ขัดต่อหลักการปกครองโดยกฎหมาย
ถาม คนเสื้อแดงตั้งสามล้านคนเป็นเจ้าของฎีกาไม่ได้หรือ
ตอบ การขอพระราชทานอภัยโทษเป็นการสื่อสารตรงระหว่างผู้ต้องโทษหรือคนในครอบครัวกับพระมหากรุณาธิคุณ ไม่ใช่เรื่องของคนนอก ซึ่งฎีกาแดงนี้กรมราชทัณฑ์ตรวจสอบแล้ว พบว่าชื่อ 3 ล้านชื่อ มีคนจริงๆ อยู่ 2 ล้านคน
เป็น ”ชินวัตร” 3 คน มีที่นับเป็นคนในครอบครัวได้คนเดียวคือ น้องชายคุณทักษิณ ชื่อ พายัพ ชินวัตร ซึ่งจนป่านนี้ก็ยังไม่มายืนยันฎีกาตามที่ทางกรมเขาเรียกไป เรื่องถึงได้ช้าอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่แก้ไขให้ถูกต้องตรงนี้ก็เดินเรื่องต่อไปไม่ได้
ถาม เห็นมีข่าวว่าคุณพายัพเขาพร้อมจะมายืนยันแล้วนะครับ
ตอบ ถ้ามาจริงๆ ลูกบอลก็จะไหลมาเข้าเท้ากรมราชทัณฑ์ว่า ต้องรวบรวมข้อมูลและทำความเห็นเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นชั้นแรกก่อน ซึ่งตรงนี้ก็จะพบว่า หลักเกณฑ์ วิธีปฏิบัติทั้งปวงที่มีอยู่ ล้วนวางไว้สำหรับกรณีผู้ต้องคำพิพากษากำลังถูกบังคับโทษอยู่ทั้งสิ้น แล้วจึงมีข้อมูลในระหว่างถูกบังคับโทษมาอ้างอิงขอพระราชทานอภัยโทษทั้งสิ้น (ยกเว้นกรณีรอการประหารชีวิต ที่ขอพระราชทานอภัยโทษได้โดยพลันใน 60 วัน)
ถาม แล้วกรณีฎีกาแดงนี้ กรมราชทัณฑ์จะทำอย่างไร
ตอบ ก็ต้องรายงานตามตรงว่าไม่มีกฎหมายและระเบียบราชทัณฑ์รองรับ ข้างรัฐมนตรียุติธรรมและนายกรัฐมนตรีก็ต้องสั่งระงับฎีกานั้นไป ทราบว่าที่ผ่านมาก็ทำกันเช่นนี้หลายครั้งแล้ว กรณีฎีกาแดงนี้ถ้าไม่สองมาตรฐานก็ต้องสั่งระงับไปเช่นกัน และด้วยเหตุเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อระงับแล้ว นายกฯ ก็ควรถวายรายงานให้ทรงทราบด้วยอีกทางหนึ่ง
ถาม พวกเสื้อแดงจะโวยวายได้ไหมว่าฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจระงับฎีกาของตน
ตอบ หน้าที่ของฝ่ายบริหารคือต้องตรวจทานฎีกาให้ถูกต้องตรงตามครรลองของกระบวนการยุติธรรมที่วางไว้ชัดเจนแล้ว ซึ่งเมื่อไม่มีกฎเกณฑ์รองรับเลยก็เสนอไปไม่ได้ คุณจะเอาของเถื่อนไปถวายให้ทรงใช้พระราชอำนาจอย่างนั้นหรือ
ถาม ก็รองฯ เป็ดเขายืนยันนอนยันว่าเป็นพระราชอำนาจ เราจะไประงับฎีกาไม่ได้
ตอบ นั่นเป็นชั้นทรงพระราชวินิจฉัย ที่แล้วแต่จะทรงพระกรุณา แต่ในชั้นบริหารมันต้องกลั่นกรองให้ถูกต้องเสียก่อน เพราะคุณคือผู้รับผิดชอบในฐานะผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แล้วที่พร่ำก้าบๆ อ้างว่ากฎหมายไม่ห้ามๆๆ..อยู่นั่นน่ะ รองฯ เป็ดไม่เห็นหรือว่า คำขอตามฎีกานี้มันขัดต่อหลักการปกครองโดยกฎหมายของระบบนิติรัฐอย่างชัดเจนมาก..มันยิ่งกว่า “ไม่ห้าม” เสียอีกนะคุณ
ถาม ขัดอย่างไร
ตอบ การอภัยโทษเป็นเรื่องต้องโทษแล้วสำนึกผิดกลับตัวกลับใจ มีพัฒนาการที่ดีในคุกหรือมีเหตุเฉพาะตัวอื่นๆ เช่น เจ็บป่วยใกล้ตาย ทั้งหมดนี้เป็นเหตุเฉพาะตัวที่เกิดขึ้นหลังพิพากษา จึงขออภัยโทษเป็นการเฉพาะรายได้ แต่การต้องโทษแล้วหนีคดีนั้น พฤติการณ์ในคดีศาลตัดสินไปแล้วว่าผิด เหตุลดหย่อนเฉพาะตัวถ้ามี ศาลก็ดูไปแล้วว่ามีหรือไม่ ขั้นต่อไปก็ต้องเข้าคุกก่อน ถ้าเรายอมให้พ้นโทษได้โดยไม่ต้องโทษใดเลย อย่างนี้ไม่ใช่การอภัยโทษแล้วล่ะครับ มันเท่ากับเรายอมให้ 3 ป.ใช้อำนาจบริหารมาทำลายผลคำพิพากษาอันเป็นที่สุดเลยนั่นเอง
ถาม แล้วมันเสียหายอย่างไร
ตอบ มันไม่เสมอภาคชัดๆ คนอื่นศาลพิพากษาว่าทำผิดก็ติดคุก แต่คนนี้ไม่ต้องไม่ต้องก็เพราะอำนาจตุลาการหมดความเด็ดขาด ตัดสินเด็ดขาดแล้วก็ไม่ยุติ ดันมีอำนาจบริหารโผล่มาทำลายผลคำพิพากษาได้เสียอีก
หลักความเสมอภาคภายใต้กฎหมายและหลักแบ่งแยกอำนาจนี้ รัฐธรรมนูญไทยอาราธนามาเป็นเสาเอกของระบบนิติรัฐไทยเนิ่นนานแล้ว มีบทบัญญัติปรากฏให้เห็นอยู่หลายมาตรา ถ้า 3 ป. ขืนเดินหน้าถวายฎีกาพร้อมความเห็นให้คุณทักษิณพ้นคำพิพากษาเมื่อใด ก็โดนข้อหาจงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแน่นอน
ถาม เขาทำหน้าตายส่งฎีกาไปโดยไม่ถวายความเห็นประกอบได้ไหม
ตอบ ก็เพิ่มอีกข้อหาหนึ่ง คือจงใจละเว้นไม่ทำหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด โยนความรับผิดชอบให้พระเจ้าแผ่นดินโดยมิบังควร
กล้าดี...ก็ลองดู
วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554
บังอาจเกินไปแล้ว
บังอาจเกินไปแล้ว (สารส้ม) ตกลงว่า... เธอคนนี้จะรับผิดชอบอะไรบ้างไหม?
มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่คนเป็นนายกฯ จะไม่แสดงความรับผิดชอบ-ไม่รู้ร้อนรู้หนาว-ไม่หือไม่อือ ไม่ตอบข้อซักถามนักข่าวในเรื่องที่รัฐบาลกำลังจะใช้อำนาจไปในทางที่เกิดปัญหาและสุ่มเสี่ยงอย่างที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะล้วงเอาเงินทุนสำรองระหว่างประเทศออกมาตั้งกองทุนเสี่ยงภัย (ถึงจะตั้งชื่อว่า “มั่งคั่ง” มันก็แค่ชื่อ เพราะรายละเอียดจริงๆ มันก็คือการไปลงทุนในเรื่องที่มีความเสี่ยงมากกว่าเดิม)
การใช้อำนาจโยกย้ายข้าราชการระดับสูงที่ไม่ได้มีกระทำความผิด แถมจะแต่งตั้งญาติพี่น้องพรรคพวกของตนขึ้นไปกินตำแหน่งแทน
การดำเนินการที่กลับกลอก ตลบตะแลง ไม่เป็นไปตามนโยบายที่เคยหาเสียงเอาไว้แทบทุกเรื่อง เช่น ยกเลิกกองทุนน้ำมัน แจกแทปเล็ตนักเรียน กระชากค่าครองชีพลงมา ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท จบปริญญาตรีเงินเดือน 15,000 บาท หรือแม้แต่การแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ล่าช้า ฯลฯ
แต่เรื่องที่คืบหน้าเร็วที่สุด กลับมีแต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตัวของทักษิณ ชินวัตร ทั้งนั้น!
ตั้งแต่ไปขอญี่ปุ่นช่วยออกวีซ่าให้ทักษิณเข้าประเทศเป็นกรณีพิเศษ
แถมด้วยการไม่อุทธรณ์เก็บภาษีจากโอ๊คกับเอม-ลูกทักษิณ มูลค่าหนึ่งหมื่นกว่าล้านบาท และก็ยังไม่ยอมเรียกเก็บภาษีจากทักษิณอีกด้วย ทั้งๆ ที่ กรณีนี้ น่าจะต้องเรียกเก็บภาษีจากไม่คนใดก็คนหนึ่ง (ไม่เก็บจากลูก ก็ต้องเก็บจากพ่อ)
ล่าสุด ยังมีการเร่งรัดเรื่องฎีกาขออภัยโทษให้ทักษิณ
ตกลงว่า นายกฯ ชินวัตรคนนี้ เธอจะเข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย หรือว่าแค่จะเข้ามาดูแลผลประโยชน์ส่วนตัวให้พี่ชายตัวเอง?
ปัญหาสำคัญๆ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของบ้านเมืองส่วนรวม ตัวนายกรัฐมนตรีไม่เคยตอบคำถามให้กระจ่างชัดได้เลยแม้แต่น้อย
ที่เห็นชัดเรื่องเดียว คือ อุ้มเด็กเอาหน้า (ยืนอยู่ข้างๆ เสด็จพี่)
โธ่... ถ้าคิดว่าคนเป็นนายกรัฐมนตรี จะมีหน้าที่แค่แต่งหน้าทำผม วางท่าสวยด้วยชุดหรู ถือกระเป๋าไฮโซ เซ็นชื่อเข้าประชุม แล้วก็วางมาด ท่องคำพูดที่ดูขลัง ฟังดูฉลาด (เช่น บูรณาการ นิติรัฐ) แต่พอถูกซักถามด้วยปัญหาที่เป็นรูปธรรมจริงๆ ก็โกยอ้าว เดินหนีนักข่าวเอาดื้อๆ
อาศัยลูกสมุน ลูกหาบ คอยอ้าปาก ก๊าบๆๆ
ถ้าคิดได้แค่นี้ ก็ขอร้องว่าอย่าเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศเลย
เสียศักดิ์ศรีและภาพลักษณ์ของผู้หญิงไทยที่เก่งๆ คนอื่นๆ เสียเปล่าๆ
บ้านเมืองไม่ใช่ของเล่น!
และผลแห่งการกระทำในวันนี้ จะไม่จบลงเพียงในวันที่เธอเบื่อที่จะเล่นแล้วเท่านั้น แต่มันจะฝากแผล ฝากรอย และฝากความเสียหายไว้แก่ประเทศชาติต่อไปอีกยาวนานนัก!
เอาง่ายๆ กรณีที่พยายามจะรื้อเอาการถวายฎีกาของคนเสื้อแดง ยกขึ้นมาปลุกกระแสกันอีกครั้งนั้น
ถามว่า หากสำเร็จจริงๆ คนที่จะได้ผลประโยชน์คือใคร?
คือทักษิณ ชินวัตร... คนเดียว!
แต่ถามว่า ต้นทุนของการเล่นเรื่องนี้ มันกระทบกระเทือนกับใครบ้าง ใครต้องเหน็ดเหนื่อย ใครต้องเสียหาย และจำเป็นจะต้องให้ส่วนรวมเข้าไปรับภาระในกิจส่วนตัวของทักษิณด้วยหรือ?
มันกลายเป็นว่า คนทั้งชาติต้องวุ่นวาย เดือดร้อน และแบกรับปัญหาส่วนตัวของทักษิณ ชินวัตร โดยไม่จำเป็นแม้แต่น้อย!
ไปลากเอาคนเสื้อแดงจำนวนสองล้านกว่าคน แถมด้วยชื่อปลอมหรือชื่อ-สกุลเท็จอีกล้านกว่าชื่อ นำเข้ามาเป็นเครื่องมือหวังกดดัน บีบคั้นในการถวายฎีกา... ทำไปเพื่ออะไร... ทำเพื่อใคร?
ทั้งๆ ที่ หากบริสุทธิ์ใจจริง ก็แค่ให้ทักษิณลงชื่อคนเดียว หรือลูกเมีย ญาติสนิทคนใดคนหนึ่งเข้ามาลงชื่อในฎีกา แค่นั้น หน่วยงานราชการก็ไม่ต้องเสียเวลาตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (กระทั่งพบชื่อปลอมล้านกว่าชื่อ) จากนั้นก็ควรให้ดำเนินการไปตามขั้นตอนปกติ ตามแบบปฏิบัติบนมาตรฐานเดียวกับคนไทยทุกคน
ซึ่งที่ผ่านมานั้น ไม่เคยมีการอภัยโทษให้กับคนผิดที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกแล้วหลบหนีไป ไม่ยอมรับโทษ และแม้จะเคยมีจำเลยที่หลบหนีการจำคุกหลายรายยื่นเรื่องขอรับพระราชทานอภัยโทษ แต่กรมราชทัณฑ์ก็ไม่เคยทำความเห็นเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้ถวายความเห็นควรให้พระราชทานอภัยโทษจำเลยเหล่านั้นเลย และไม่เคยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมคนไหนในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่จะดันทุรังถวายความเห็นควรให้พระราชทานอภัยโทษ
เรียกว่า ถ้ายุครัฐบาลชินวัตรทำการถวายความเห็นควรให้พระราชทานอภัยโทษแก่ทักษิณ ก็จะเป็นการทำให้ทักษิณเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งไม่มีกฎหมายให้อำนาจกระทำได้เช่นนั้น
และเท่ากับยกให้ทักษิณเป็น “อภิสิทธิ์ชน” อย่างแท้จริง!
เอามวลชนเข้ามาข่มขู่ กดดันสถาบันเบื้องสูงโดยมิบังควรอย่างที่สุด
บังอาจมาก... ถ้าอ้าย-อี รัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีหน้าไหน รู้ไส้สนกลในเช่นนี้แล้ว รู้ว่าฎีกานั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่กลับจะดันทุรัง เล่นการเมืองกับสถาบันอันเป็นที่เคารพรักของคนไทยทั้งประเทศ
เชื่อเถอะ... คนไทย ผู้เคารพรัก และพร้อมปกป้องสถาบันหลักของชาติในทุกองคาพยพ พร้อมที่เล่นกลับคืน ทุกรูปแบบ!
http://www.naewna.com/news.asp?ID=278679
มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่คนเป็นนายกฯ จะไม่แสดงความรับผิดชอบ-ไม่รู้ร้อนรู้หนาว-ไม่หือไม่อือ ไม่ตอบข้อซักถามนักข่าวในเรื่องที่รัฐบาลกำลังจะใช้อำนาจไปในทางที่เกิดปัญหาและสุ่มเสี่ยงอย่างที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะล้วงเอาเงินทุนสำรองระหว่างประเทศออกมาตั้งกองทุนเสี่ยงภัย (ถึงจะตั้งชื่อว่า “มั่งคั่ง” มันก็แค่ชื่อ เพราะรายละเอียดจริงๆ มันก็คือการไปลงทุนในเรื่องที่มีความเสี่ยงมากกว่าเดิม)
การใช้อำนาจโยกย้ายข้าราชการระดับสูงที่ไม่ได้มีกระทำความผิด แถมจะแต่งตั้งญาติพี่น้องพรรคพวกของตนขึ้นไปกินตำแหน่งแทน
การดำเนินการที่กลับกลอก ตลบตะแลง ไม่เป็นไปตามนโยบายที่เคยหาเสียงเอาไว้แทบทุกเรื่อง เช่น ยกเลิกกองทุนน้ำมัน แจกแทปเล็ตนักเรียน กระชากค่าครองชีพลงมา ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท จบปริญญาตรีเงินเดือน 15,000 บาท หรือแม้แต่การแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ล่าช้า ฯลฯ
แต่เรื่องที่คืบหน้าเร็วที่สุด กลับมีแต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตัวของทักษิณ ชินวัตร ทั้งนั้น!
ตั้งแต่ไปขอญี่ปุ่นช่วยออกวีซ่าให้ทักษิณเข้าประเทศเป็นกรณีพิเศษ
แถมด้วยการไม่อุทธรณ์เก็บภาษีจากโอ๊คกับเอม-ลูกทักษิณ มูลค่าหนึ่งหมื่นกว่าล้านบาท และก็ยังไม่ยอมเรียกเก็บภาษีจากทักษิณอีกด้วย ทั้งๆ ที่ กรณีนี้ น่าจะต้องเรียกเก็บภาษีจากไม่คนใดก็คนหนึ่ง (ไม่เก็บจากลูก ก็ต้องเก็บจากพ่อ)
ล่าสุด ยังมีการเร่งรัดเรื่องฎีกาขออภัยโทษให้ทักษิณ
ตกลงว่า นายกฯ ชินวัตรคนนี้ เธอจะเข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย หรือว่าแค่จะเข้ามาดูแลผลประโยชน์ส่วนตัวให้พี่ชายตัวเอง?
ปัญหาสำคัญๆ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของบ้านเมืองส่วนรวม ตัวนายกรัฐมนตรีไม่เคยตอบคำถามให้กระจ่างชัดได้เลยแม้แต่น้อย
ที่เห็นชัดเรื่องเดียว คือ อุ้มเด็กเอาหน้า (ยืนอยู่ข้างๆ เสด็จพี่)
โธ่... ถ้าคิดว่าคนเป็นนายกรัฐมนตรี จะมีหน้าที่แค่แต่งหน้าทำผม วางท่าสวยด้วยชุดหรู ถือกระเป๋าไฮโซ เซ็นชื่อเข้าประชุม แล้วก็วางมาด ท่องคำพูดที่ดูขลัง ฟังดูฉลาด (เช่น บูรณาการ นิติรัฐ) แต่พอถูกซักถามด้วยปัญหาที่เป็นรูปธรรมจริงๆ ก็โกยอ้าว เดินหนีนักข่าวเอาดื้อๆ
อาศัยลูกสมุน ลูกหาบ คอยอ้าปาก ก๊าบๆๆ
ถ้าคิดได้แค่นี้ ก็ขอร้องว่าอย่าเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศเลย
เสียศักดิ์ศรีและภาพลักษณ์ของผู้หญิงไทยที่เก่งๆ คนอื่นๆ เสียเปล่าๆ
บ้านเมืองไม่ใช่ของเล่น!
และผลแห่งการกระทำในวันนี้ จะไม่จบลงเพียงในวันที่เธอเบื่อที่จะเล่นแล้วเท่านั้น แต่มันจะฝากแผล ฝากรอย และฝากความเสียหายไว้แก่ประเทศชาติต่อไปอีกยาวนานนัก!
เอาง่ายๆ กรณีที่พยายามจะรื้อเอาการถวายฎีกาของคนเสื้อแดง ยกขึ้นมาปลุกกระแสกันอีกครั้งนั้น
ถามว่า หากสำเร็จจริงๆ คนที่จะได้ผลประโยชน์คือใคร?
คือทักษิณ ชินวัตร... คนเดียว!
แต่ถามว่า ต้นทุนของการเล่นเรื่องนี้ มันกระทบกระเทือนกับใครบ้าง ใครต้องเหน็ดเหนื่อย ใครต้องเสียหาย และจำเป็นจะต้องให้ส่วนรวมเข้าไปรับภาระในกิจส่วนตัวของทักษิณด้วยหรือ?
มันกลายเป็นว่า คนทั้งชาติต้องวุ่นวาย เดือดร้อน และแบกรับปัญหาส่วนตัวของทักษิณ ชินวัตร โดยไม่จำเป็นแม้แต่น้อย!
ไปลากเอาคนเสื้อแดงจำนวนสองล้านกว่าคน แถมด้วยชื่อปลอมหรือชื่อ-สกุลเท็จอีกล้านกว่าชื่อ นำเข้ามาเป็นเครื่องมือหวังกดดัน บีบคั้นในการถวายฎีกา... ทำไปเพื่ออะไร... ทำเพื่อใคร?
ทั้งๆ ที่ หากบริสุทธิ์ใจจริง ก็แค่ให้ทักษิณลงชื่อคนเดียว หรือลูกเมีย ญาติสนิทคนใดคนหนึ่งเข้ามาลงชื่อในฎีกา แค่นั้น หน่วยงานราชการก็ไม่ต้องเสียเวลาตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (กระทั่งพบชื่อปลอมล้านกว่าชื่อ) จากนั้นก็ควรให้ดำเนินการไปตามขั้นตอนปกติ ตามแบบปฏิบัติบนมาตรฐานเดียวกับคนไทยทุกคน
ซึ่งที่ผ่านมานั้น ไม่เคยมีการอภัยโทษให้กับคนผิดที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกแล้วหลบหนีไป ไม่ยอมรับโทษ และแม้จะเคยมีจำเลยที่หลบหนีการจำคุกหลายรายยื่นเรื่องขอรับพระราชทานอภัยโทษ แต่กรมราชทัณฑ์ก็ไม่เคยทำความเห็นเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้ถวายความเห็นควรให้พระราชทานอภัยโทษจำเลยเหล่านั้นเลย และไม่เคยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมคนไหนในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่จะดันทุรังถวายความเห็นควรให้พระราชทานอภัยโทษ
เรียกว่า ถ้ายุครัฐบาลชินวัตรทำการถวายความเห็นควรให้พระราชทานอภัยโทษแก่ทักษิณ ก็จะเป็นการทำให้ทักษิณเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งไม่มีกฎหมายให้อำนาจกระทำได้เช่นนั้น
และเท่ากับยกให้ทักษิณเป็น “อภิสิทธิ์ชน” อย่างแท้จริง!
เอามวลชนเข้ามาข่มขู่ กดดันสถาบันเบื้องสูงโดยมิบังควรอย่างที่สุด
บังอาจมาก... ถ้าอ้าย-อี รัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีหน้าไหน รู้ไส้สนกลในเช่นนี้แล้ว รู้ว่าฎีกานั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่กลับจะดันทุรัง เล่นการเมืองกับสถาบันอันเป็นที่เคารพรักของคนไทยทั้งประเทศ
เชื่อเถอะ... คนไทย ผู้เคารพรัก และพร้อมปกป้องสถาบันหลักของชาติในทุกองคาพยพ พร้อมที่เล่นกลับคืน ทุกรูปแบบ!
http://www.naewna.com/news.asp?ID=278679
วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554
เด็กวานซืน พรรคเพื่อไทย ปากมอม ไม่รู้จักโลก ท้าอาจารย์ปู่ทางเศรษฐศาสตร์
เอาแล้วไง เด็กวานซืน พรรคเพื่อไทย ปากมอม ไม่รู้จักโลก ท้าอาจารย์ปู่ทางเศรษฐศาสตร์
-มือหนึ่งเศรษฐศาสตร์ของประเทศไทย
เพื่อไทย ท้า อัมมาร ลาออกตำแหน่ง หากจำนำข้าวดีจริง
5 ก.ย. 54 Mthai News : ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงกรณีที่นายอัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายการรับจำนำข้าว และระบุว่ารัฐบาลชุดนี้ดีแต่โม้ ว่า เป็นเพียงนักวิชาการขาประจำ มีอคติส่วนตัว และมีนัยยะทางการเมือง อยากขอให้โอกาสรัฐบาลในการทำงานก่อน
ทั้งนี้โครงการ จำนำข้าว ของรัฐบาลจะเริ่มต้นในวันที่ 7 ตุลาคม และที่ผ่านมารัฐบาลตั้งแต่พรรคไทยรักไทย ก็เคยพิสูจน์แล้วว่าหลายโครงการทำได้จริง แม้จะถูกวิจารณ์ตั้งแต่แรก อาทิ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน โครงการเอสเอ็มแอล และสินค้าโอท็อป เป็นต้น
ขณะเดียวกันจึงอยากท้านายอัมมาร ว่า กล้าที่จะใช้ตำแหน่งเดิมพันหรือไม่ หากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยสามารถดำเนินนโยบายได้จริง เนื่องจากการออกมาพูดครั้งนี้ก็เหมือนว่านายอัมมารดีแต่พูด สอดคล่องกับพฤติกรรมของพรรคการเมืองบางพรรคที่มีผู้นำที่ดีแต่พูด
ส่วนหากมีการดำเนินโครงการจำนำข้าวจะ ก่อหนี้ให้กับประเทศมหาศาลนั้น ก็เป็นเพียงการประมาณการเท่านั้น เหตุใดนายอัมมารจึงไม่ไปทำการศึกษาว่า หากโครงการประกันราคาข้าวดีจริง แต่ทำให้ชาวนายังยากจน และออกมาปิดถนนอยู่
อย่างไรก็ตามรัฐบาลพรรค เพื่อไทยก็ยินดีที่จะรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์ แต่อยากให้เป็นการติเพื่อก่อ ติอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่มาดิสเครดิตเช่นนี้
>>> อ่านแล้วจี๊ดขึ้น I เด็กวานซืน โครงการรับจำนำแล้ว ประเทศไทยทำมาหลายรัฐบาลแล้ว ผลปรากฏว่า เจ๊งหมด ขาดทุน ไปหลายหมื่นถึงหลายแสนล้าน ตัวอย่างในอดีตไม่พอใจหรือ
ประเด็นไม่ใช่ อยู่ที่ว่าทำได้จริงหรือไม่ ประเด็นอยู่ที่ว่าทำแล้วดีจริงหรือ... ผลงานในอดีตยืนยันถึงความล้มเหลว สุดท้ายประเทศและชาวนาพินาศหมด
การ ประกันราคาข้าวน่ะดีจริง... พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ที่บ้านคงไม่มีทีวี ไม่รับหนังสือพิมพ์ สภาพบ้านคงอนาถา ยากจน ขายตัวเป็นดารา แต่ก็ยังจน เลยไม่รู้เรื่องโลกภายนอกบ้าง...ไม่ติดตามข้าวบ้างเหรอ
สุดท้าย อย่างที่ อาจารย์อัมมาร พูด รัฐบาลนี้ ดีแต่โม้ อย่างเบี่ยงประเด็นด้วย
-มือหนึ่งเศรษฐศาสตร์ของประเทศไทย
เพื่อไทย ท้า อัมมาร ลาออกตำแหน่ง หากจำนำข้าวดีจริง
5 ก.ย. 54 Mthai News : ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงกรณีที่นายอัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายการรับจำนำข้าว และระบุว่ารัฐบาลชุดนี้ดีแต่โม้ ว่า เป็นเพียงนักวิชาการขาประจำ มีอคติส่วนตัว และมีนัยยะทางการเมือง อยากขอให้โอกาสรัฐบาลในการทำงานก่อน
ทั้งนี้โครงการ จำนำข้าว ของรัฐบาลจะเริ่มต้นในวันที่ 7 ตุลาคม และที่ผ่านมารัฐบาลตั้งแต่พรรคไทยรักไทย ก็เคยพิสูจน์แล้วว่าหลายโครงการทำได้จริง แม้จะถูกวิจารณ์ตั้งแต่แรก อาทิ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน โครงการเอสเอ็มแอล และสินค้าโอท็อป เป็นต้น
ขณะเดียวกันจึงอยากท้านายอัมมาร ว่า กล้าที่จะใช้ตำแหน่งเดิมพันหรือไม่ หากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยสามารถดำเนินนโยบายได้จริง เนื่องจากการออกมาพูดครั้งนี้ก็เหมือนว่านายอัมมารดีแต่พูด สอดคล่องกับพฤติกรรมของพรรคการเมืองบางพรรคที่มีผู้นำที่ดีแต่พูด
ส่วนหากมีการดำเนินโครงการจำนำข้าวจะ ก่อหนี้ให้กับประเทศมหาศาลนั้น ก็เป็นเพียงการประมาณการเท่านั้น เหตุใดนายอัมมารจึงไม่ไปทำการศึกษาว่า หากโครงการประกันราคาข้าวดีจริง แต่ทำให้ชาวนายังยากจน และออกมาปิดถนนอยู่
อย่างไรก็ตามรัฐบาลพรรค เพื่อไทยก็ยินดีที่จะรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์ แต่อยากให้เป็นการติเพื่อก่อ ติอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่มาดิสเครดิตเช่นนี้
>>> อ่านแล้วจี๊ดขึ้น I เด็กวานซืน โครงการรับจำนำแล้ว ประเทศไทยทำมาหลายรัฐบาลแล้ว ผลปรากฏว่า เจ๊งหมด ขาดทุน ไปหลายหมื่นถึงหลายแสนล้าน ตัวอย่างในอดีตไม่พอใจหรือ
ประเด็นไม่ใช่ อยู่ที่ว่าทำได้จริงหรือไม่ ประเด็นอยู่ที่ว่าทำแล้วดีจริงหรือ... ผลงานในอดีตยืนยันถึงความล้มเหลว สุดท้ายประเทศและชาวนาพินาศหมด
การ ประกันราคาข้าวน่ะดีจริง... พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ที่บ้านคงไม่มีทีวี ไม่รับหนังสือพิมพ์ สภาพบ้านคงอนาถา ยากจน ขายตัวเป็นดารา แต่ก็ยังจน เลยไม่รู้เรื่องโลกภายนอกบ้าง...ไม่ติดตามข้าวบ้างเหรอ
สุดท้าย อย่างที่ อาจารย์อัมมาร พูด รัฐบาลนี้ ดีแต่โม้ อย่างเบี่ยงประเด็นด้วย
น่าสมเพช!! ยิ่งนัก อภิสิทธิ์ !! ศิษย์ Oxford 20ปีการเมือง พ่ายแพ้ !! ยิ่งลักษณ์ ประสบการณ์ 40วัน
น่าสมเพช!! ยิ่งนัก อภิสิทธิ์ !! ศิษย์ Oxford 20ปีการเมือง พ่ายแพ้ !! ยิ่งลักษณ์ ประสบการณ์ 40วัน เข้ามาฮากันครับ
พาดหัวแบบนี้คงถูกใจใคร หลายๆคน ...พอกันได้รึยังครับ กับการกระแนะกระแหนคนดี เชิดชูยกยอคนเลว ตั้งแต่เลือกตั้งผ่านพ้นมา ผม ก็ได้ยินประโยคพวกนี้อยู่เสมอๆ เช่น สมแล้วล่ะที่แพ้ อภิสิทธิ์ อีโก้สูง แก๊งไอติม ไม่ฟังใคร เอาตัวเป็นใหญ่ เอาแต่โจมตีคนอื่น เลือกใช้คนผิด ทำงานเชื่องช้า เล่นละครลิงลาออกจากหัวหน้า แล้วก็กลับมาเป็นใหม่ ดีแต่พูด ดีแต่หล่อ บลา บลา บลา.....
ขณะ ที่อีกฝั่งหนึ่งกลับมีคนพูดว่า นี่ดูซิ พวกเพื่อไทยมันฉลาด ออกนโยบายประชานิยม เข้าถึงประชาชนมากกว่า (ทั้งที่รู้ว่านโยบายมันหลอกแดก) พวกนี้มันทำงานเป็นกระบวนการ มีกองกำลัง มีม็อปข้างถนนคอยช่วย ถ้าปชป. ยังตามเกมเพื่อไทยไม่ทันก็คงแพ้ตลอดไป บลา บลา บลา .....
ครับ ก่อนเข้าเรื่อง ผมขอตั้งข้อสังเกต ดังนี้
1. ทำไม อภิสิทธิ์ ที่คุณสมบัติครบถ้วน ดีแทบทุกอย่าง ประสบการณ์ทำงานการเมือง 20 ปี กลับแพ้ ยิ่งลักษณ์ ที่คุณสมบัติเทียบกันไม่ได้ และประสบการณ์การเมือง 40วัน ลองคิดดีๆนะครับ อภิสิทธิ์และ ปชป. วางแผนแย่ขนาดนั้น โง่ขนาดนั้นเลยเหรอ ที่แพ้
2. นโยบาย ประกันรายได้ชาวนา ที่ชาวนาทุกคนก็เห็นว่าดี นักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ เห็นตรงกันว่าดีกว่าจำนำรายได้ชัดๆ แต่ทำไม ประชาชนเลือกเพื่อไทย คิดดีๆนะครับ ทำไมของดีเค้าไม่เอา
3. ทำไมเพื่อไทย เค้าถึงมั่นใจ ถึงขนาดมีบางคนบอกว่า เอาเสาไฟฟ้า มาเป็นแคนดิเดต นายกฯ ก็ชนะอยู่ดี ว้าวว
4. ทำไม ยิ่งลักษณ์ ที่ไปไหนก็อ่านโพย ตลอดเวลา นโยบายตัวเองจำไม่ได้ พูดถูกพูดผิดตลอดเวลา กลับชนะ และ บางคนยังไปชมอีกว่า เค้าเก่งเข้าถึงประชาชนถึงชนะ เค้าถึงว่าคนชนะทำไรก็ถูก
5. เสื้อ แดงโจมตี ปชป.ตลอดเวลา ฆ่าประชาชนบ้าง ทำของแพง ด่าอภิสิทธิ์ ด่าสุเทพ ด่าประยุทธ์ รวมถึง ด่าอำมาตย์ กลับไม่เห็นมีใครไปบอกให้เค้าเลิกโจมตี อภิสิทธิ์ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง แต่พอ อภิสิทธิ์ ด่าทักษิณ กลับบอกว่าผิด อย่าไปโจมตีเค้า ทั้งที่อภิสิทธิ์ พูดความจริง โอววว สังคมป่วย
มาเข้าเรื่องกันครับ คุณคิดว่าเพราะอะไร เพื่อไทยถึงชนะ
1. ยี่ห้อทักษิณ ยังเป็นยี่ห้อที่ใช้ได้ตลอด เช่นประโยคที่ว่า ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ เค้านำยี่ห้อนี้มาใช้ตลอด เพราะเมื่อก่อน คนเห็นว่าทักษิณ ทำนโยบายดีๆไว้เยอะ เช่น กองทุนหมู่บ้าน โอท็อป 30บาทรักษาทุกโรค นโยบายประชานิยมทั้งหลายแหล่จาก ทักษิณ ทำให้คนติดใจ จะลบยี่ห้อนี้ยากครับ
2. นโยบายประชานิยมตีกิน หลอกแดก เมื่อนโยบายพวกนี้ที่ ปั้นตัวเลขให้สูงๆเข้าไว้ ทำได้ไม่ได้อีกเรื่อง เช่น 300 15000 จำนำ15000 เอามารวมกับยี่ห้อ ทักษิณ ไปกันใหญ่เลย เพราะคนเห็นว่าทักษิณเคยทำประชานิยมไว้เยอะ ก็ยิ่งไว้ใจ
3. คนไทยสังคมไทยชอบผลประโยชน์ โกงรับได้แต่ขอให้ตัวเองได้ด้วย จากข้อนี้ เมื่อไปรวมกับ ข้อ 1 กับ ข้อ 2 ไปกันใหญ่เลยครับ เพราะสังคมป่วยแบบนี้ จะไม่ให้เค้าเลือกเพื่อไทยอย่างไร
4. ขบวนการแบ่งแยกประชาชนเอาใจคนจน สร้างความแตกแยกระหว่างคนจน กับ คนชั้นกลางและอำมาตย์ โดยใช้สื่อในมือวิทยุชุมชน ใช้เงินหว่านหัวคะแนน จึงมีเสื้อแดงโผล่มา เค้าคิดว่าเค้าเป็นชนชั้นที่ถูกกดขี่จาก สังคมและอำมาตย์ ทำให้พวกนี้เกาะกลุ่มกัน โดยมียี่ห้อทักษิณค้ำจุน เมื่อเค้าคิดว่าพวกเค้าเป็นกลุ่มเดียวกันและมีทักษิณช่วยเหลือ ทำไมเค้าจะไม่เลือกเพื่อไทยล่ะครับ สื่อเค้าก็ซื้อ ข้าราชการเค้าก็ซื้อ
และการแบ่งแยกประชาชนนี้แหละ ที่ทำให้ ปชป. และอภิสิทธิ์ ไปเหนือ อีสานไม่ได้ตลอดการทำงาน 2ปีกว่า ทำให้เข้าไม่ถึงคนอีสานเหนือไงครับ นี่คือเหตุผล
อภิสิทธิ์ แย่ขนาดนั้นจริงหรือ?
ลองมาดูแบบสำรวจของ คุณหญิง กัลยา และ บทวิจารณ์ของคนอื่นๆนะครับ ผมจะยกมาเฉพาะข้อที่สำคัญนะครับ
1. ปรับทัศนคติ แก้ไขตัวเอง เลิกโทษคนอื่น ไม่ว่าทักษิณ หรือ วิกฤติ เลิกโจมตีทางการเมือง
ตอบ แปลกนะครับ ทีฝั่งเพื่อไทย ด่าอภิสิทธิ์ แทบทุกวัน โจมตีตลอดทั้งที่ไม่จริง แต่ กลับไม่มีใครว่าเค้า เพียงเพราะเค้าชนะเลือกตั้งมั้ง เลยทำไรไม่ผิด แสดงว่า อภิสิทธิ์เอาเรื่องจริงของทักษิณมาพูดแล้วผิดคะแนนหาย แต่ เพื่อไทยด่าอภิสิทธิ์ทั้งที่ไม่จริง แต่ถูก คะแนนเพิ่ม อืม....ดี
ตรง นี้ผมแค่จะบอกว่า เมื่อก่อน ผมก็เลือกทักษิณนะครับ ครั้งแรกและครั้งเดียว แต่พอมีคนมาตีแผ่ความจริง ก็ไอการที่มีคนมาด่ามาว่า โดยเอาข้อเท็จจริงมาให้รับรุ้นี่แหละครับ ผมถึงเปลี่ยนใจ ถ้าไม่มีคนออกมาพูดความจริง แล้วคนเค้าจะรู้เหรอครับ สังเกตนะ เมื่อก่อนทักษิณคะแนนขาดกว่านี้มาก แต่ครั้งหลังๆ คะแนนเค้าน้อยลงนะครับ เพียงแต่เค้ายังได้พื้นที่ฐานเสียงของเค้า คือ เหนืออีสาน
ผม ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะพูดความจริงไม่ได้ ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังนั้น เป็นใครกำลังจะทำอะไรต่อประเทศ ถ้าไม่เปิดเผยความจริง คนก็ไม่รู้และยิ่งทำให้คนเลือกเพื่อไทยมากขึ้นสิครับ ลองถามตัวเองดูหลายๆคนในนี้ ผมคิดว่าเมื่อก่อนก็เลือกทักษิณใช่ไหมครับ ทำไมคุณถึงเปลี่ยนล่ะ
2. เปลี่ยนตัวเองให้ตรงกับประชาชนต้องการ เก่ง กล้า ดี ติดดิน
ตอบ แหม ผมนึกว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการผลประโยชน์ซะอีก ใครให้มากกว่าเอาเสียงไปไรทำนองนั้น เก่ง อภิสิทธิ์ไม่เก่งตรงไหน กล้า อภิสิทธิ์ไม่กล้าตรงไหน ดี อภิสิทธิ์ไม่ดีตรงไหน ติดดิน คนๆนี้ติดดินกว่านายกฯแทบทุกคนที่เคยมีมาครับ
กับเสื้อแดงที่มาด่า ยังเข้าไปคุยใช้เหตุผล อย่างนี้ที่เรียกว่าไม่ฟังใคร?
3. เปลี่ยนนโยบายให้ตรงกับความต้องการมากขึ้น
ตอบ. ก็ประชาชนต้องการผลประโยชน์ดังนั้น หรือจะให้ ปชป. ใช้นโยบายเดียวกับเพื่อไทย คือ ประชานิยมหลอกแดก 300 15000 บ้าพอกัน
คิดดีๆนะครับ นโยบายประกันรายได้ ไม่เคยมีรัฐบาลไหนคิดได้ พอทำมาเห็นผลดีมากมาย ทุกภาคส่วนยอมรับ แต่ประชาชนก็ยังไม่เลือกครับ ศึกษาฟรี เบี้ยยังชีพ ดีไหมครับ แต่เค้าไม่เลือกครับ เพราะอะไรกลับไปอ่าน เหตุผล 4ข้อที่ทำให้เพื่อไทยชนะ
4. เปลี่ยนวิธีสื่อสาร พูดเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย
ตอบ. อันนี้ผมเห็นด้วยครับ เห็นด้วยมากๆ เพราะหลายๆที ท่านพูดแล้วประชาชนทั่วไป ไม่เข้าใจ แต่ผมว่าท่านเปลี่ยนสไตล์การพูดไปเยอะ เห็นได้จากการหาเสียงที่มีลูกเล่น เน้นฮา ผมว่าท่านก็เปลี่ยนนะครับ
5. ปรับโครงสร้างการทำงาน คิดนอกกรอบ ให้ทุกคนในพรรคมีส่วนร่วม
ตอบ. ผมว่า ปชป. เปลี่ยนเรื่อยๆนะครับ เห็นเปลี่ยนหลายคน ทุกคนในพรรคมีส่วนร่วมแน่ เพราะมีการโหวต ไม่เหมือนอีกพรรค ที่สั่งมาจากคนเดียว อันนี้ต้องให้โอกาสครับ
จาก เหตุผลที่แพ้เพื่อไทยทั้ง 4 ข้อ และแบบสำรวจที่ คุณหญิงกัลยา ทำมา คิดจริงๆเหรอครับ ว่าถ้าทำตามแบบสำรวจทั้งหมด แล้ว ปชป.จะชนะ ผมตอบให้ได้เลยครับ ว่าไม่ ไม่ชนะหรอกครับ
ตราบใดที่ เหตุผลทั้ง 4ข้อยังอยู่ ปชป.ไม่ชนะหรอกครับ วิธีมีนะครับ ถ้าจะทำให้ชนะ เค้าให้ 300 15000 ปชป. ก็ใส่เข้าไปสิ 500 20000 ดีไหมครับ คุณต้องการแบบนี้ไหมครับ โกหกหลอกแดก แม้จะทำได้ประเทศชาติก็ล่มจม ดูกรีซเป็นตัวอย่าง หรือจะให้สร้างกลุ่มประชาชนของตัวเอง เสื้อสีไรดี ยังเล่นกีฬาสีกันไม่สนุกพอเหรอครับ
ดังนั้นต้องเข้าใจเหตุผล และสิ่ง ที่ผมคิดว่าพวกเราทำได้คือ ประจานนโยบายเพื่อไทยครับ ไม่ใช่อยู่เฉยๆหรือไม่โจมตีแบบที่บอก ขณะที่เค้าออกนโยบายผิดๆ ชาติจะล่มจม แต่ให้เราอยู่เฉยๆ ไม่โจมตีไม่บอกข้อเท็จจริงให้ประชาชนรู้ งี้ทั้งชาติคุณก็ไม่ชนะเค้าหรอกครับ ต้องทำให้ประชาชนรู้ และเข้าใจ เมื่อถึงเวลานโยบายทำไม่ได้จริง นั่นแหละ ประชาชนจะเข้าใจมากขึ้นเอง
คิดดีๆนะครับ รัฐบาลทำงาน 2ปีกว่า เกิดเหตุจลาจล ปีละครั้ง 2ปี ก็ 2ครั้ง ใช้เวลาในการปราบปรามจัดการ รวมกันก็ประมาณ ครึ่งปีแล้ว รัฐบาลได้ทำงานแค่ไหนกัน ทั้งวิกฤติ เศรษฐกิจ ทั้งจลาจล ทั้งเสื้อเหลือง แดง ไปเหนือ อีสาน ไม่ได้ เจอไล่ฆ่า ไล่หาเรื่องทำร้าย
แต่กลับออกนโยบายดีๆ เรียนฟรี ประกันรายได้ เบี้ยยังชีพ ทำให้เงินทุนสำรองประเทศมากที่สุดในประวัติกาล ทำให้คนตกงานน้อยที่สุด แต่กลับโดนตำหนิแบบไม่ค่อยมีเหตุผล
จริงๆแล้วการจะวิจารณ์เป็นเรื่องที่ดีครับทำได้ แต่ลองวิจารณ์แบบมีเหตุผลและแนะแนวทางด้วย เช่น ผมจะลองวิจารณ์การปราบปรามเสื้อแดง ที่แยกคอกวัว ว่าทำไมต้องทำตอนเย็นไปถึงช่วงกลางคืน ซึ่งมันสุ่มเสี่ยงจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย ดังนั้น การปราบปรามอะไรควรจะต้องทำช่วงเช้าไปกลางวันจะดีกว่ามาก เป็นต้น
จะ วิจารณ์อะไร ตำหนิอะไร ควรแนะแนวทางที่มันดีกว่าเดิมด้วย ไม่ใช่ด่าอย่างเดียว หรือเวลาเค้าทำดีก็ควรจะชมบ้าง ไม่งั้นดนดีๆจะเอากำลังใจจากไหน
ขอทิ้งท้ายอะไรหน่อยนะครับ อภิสิทธิ์ ไม่มีประโยชน์ส่วนตน เข้ามาทำงานเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด โดนขู่ โดนทำร้ายสารพัด ทำงานหนักตลอดเพื่อประชาชนสารพัด ขนาดไม่ได้เป็นนายกฯ ก็ยังทำเพื่อประชาชนตลอด คนแบบนี้ กลับโดนตำหนิด่าว่า สุดท้ายแล้วถ้าท่านท้อและ ลาออกไปจริงๆก็คงสะใจกันใช่ไหมครับ คุ้มไหมกับการที่ท่านไม่ได้อะไรเลย ในการทำงานเพื่อชาติ แต่ต้องมาโดนด่ากระแนะกระแหน
ปล. ขณะที่ทุกท่านกำลังด่า กำลังวิจารณ์ ท่านอภิสิทธิ์ อยู่นั้น ตอนนี้ ท่านกำลังบรรจุ ถุงยังชีพ 2000 ถุงอยู่ที่ พรรค ปชป. เพื่อจะนำไปแจกจ่ายให้ประชาชน
ไม่ เป็นไรครับ ใครจะด่าใครจะว่า อภิสิทธิ์ ต่อให้ผมเป็นคนเดียวในโลกที่ให้กำลังใจท่าน ผมก็จะขอเป็นต่อไป ทำงานเพื่อประชาชนต่อไปนะครับ ท่านนายกฯ
เชิญชวนนะครับใครว่างตอนนี้ พรรค ปชป. พี่มาร์ค กำลังบรรจุถุงยังชีพอยู่ 2000ถุง เริ่มตั้งแต่ 17.00 น. วันนี้นะครับ 5 กันยายน ที่พรรค ปชป. ใครมีจิตอาสาไปช่วยกันนะครับ
และของที่ ท่านช่วยบริจาค หรือ ไปช่วยบรรจุใส่ถุง ก็จะถึงมือประชาชน โดย พี่มาร์ค ไปแจกเองเลยครับ แบบนี้
ขอบคุณครับ นี่แหละคนที่.."ดีแต่พูด"
by Anonym
พาดหัวแบบนี้คงถูกใจใคร หลายๆคน ...พอกันได้รึยังครับ กับการกระแนะกระแหนคนดี เชิดชูยกยอคนเลว ตั้งแต่เลือกตั้งผ่านพ้นมา ผม ก็ได้ยินประโยคพวกนี้อยู่เสมอๆ เช่น สมแล้วล่ะที่แพ้ อภิสิทธิ์ อีโก้สูง แก๊งไอติม ไม่ฟังใคร เอาตัวเป็นใหญ่ เอาแต่โจมตีคนอื่น เลือกใช้คนผิด ทำงานเชื่องช้า เล่นละครลิงลาออกจากหัวหน้า แล้วก็กลับมาเป็นใหม่ ดีแต่พูด ดีแต่หล่อ บลา บลา บลา.....
ขณะ ที่อีกฝั่งหนึ่งกลับมีคนพูดว่า นี่ดูซิ พวกเพื่อไทยมันฉลาด ออกนโยบายประชานิยม เข้าถึงประชาชนมากกว่า (ทั้งที่รู้ว่านโยบายมันหลอกแดก) พวกนี้มันทำงานเป็นกระบวนการ มีกองกำลัง มีม็อปข้างถนนคอยช่วย ถ้าปชป. ยังตามเกมเพื่อไทยไม่ทันก็คงแพ้ตลอดไป บลา บลา บลา .....
ครับ ก่อนเข้าเรื่อง ผมขอตั้งข้อสังเกต ดังนี้
1. ทำไม อภิสิทธิ์ ที่คุณสมบัติครบถ้วน ดีแทบทุกอย่าง ประสบการณ์ทำงานการเมือง 20 ปี กลับแพ้ ยิ่งลักษณ์ ที่คุณสมบัติเทียบกันไม่ได้ และประสบการณ์การเมือง 40วัน ลองคิดดีๆนะครับ อภิสิทธิ์และ ปชป. วางแผนแย่ขนาดนั้น โง่ขนาดนั้นเลยเหรอ ที่แพ้
2. นโยบาย ประกันรายได้ชาวนา ที่ชาวนาทุกคนก็เห็นว่าดี นักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ เห็นตรงกันว่าดีกว่าจำนำรายได้ชัดๆ แต่ทำไม ประชาชนเลือกเพื่อไทย คิดดีๆนะครับ ทำไมของดีเค้าไม่เอา
3. ทำไมเพื่อไทย เค้าถึงมั่นใจ ถึงขนาดมีบางคนบอกว่า เอาเสาไฟฟ้า มาเป็นแคนดิเดต นายกฯ ก็ชนะอยู่ดี ว้าวว
4. ทำไม ยิ่งลักษณ์ ที่ไปไหนก็อ่านโพย ตลอดเวลา นโยบายตัวเองจำไม่ได้ พูดถูกพูดผิดตลอดเวลา กลับชนะ และ บางคนยังไปชมอีกว่า เค้าเก่งเข้าถึงประชาชนถึงชนะ เค้าถึงว่าคนชนะทำไรก็ถูก
5. เสื้อ แดงโจมตี ปชป.ตลอดเวลา ฆ่าประชาชนบ้าง ทำของแพง ด่าอภิสิทธิ์ ด่าสุเทพ ด่าประยุทธ์ รวมถึง ด่าอำมาตย์ กลับไม่เห็นมีใครไปบอกให้เค้าเลิกโจมตี อภิสิทธิ์ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง แต่พอ อภิสิทธิ์ ด่าทักษิณ กลับบอกว่าผิด อย่าไปโจมตีเค้า ทั้งที่อภิสิทธิ์ พูดความจริง โอววว สังคมป่วย
มาเข้าเรื่องกันครับ คุณคิดว่าเพราะอะไร เพื่อไทยถึงชนะ
1. ยี่ห้อทักษิณ ยังเป็นยี่ห้อที่ใช้ได้ตลอด เช่นประโยคที่ว่า ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ เค้านำยี่ห้อนี้มาใช้ตลอด เพราะเมื่อก่อน คนเห็นว่าทักษิณ ทำนโยบายดีๆไว้เยอะ เช่น กองทุนหมู่บ้าน โอท็อป 30บาทรักษาทุกโรค นโยบายประชานิยมทั้งหลายแหล่จาก ทักษิณ ทำให้คนติดใจ จะลบยี่ห้อนี้ยากครับ
2. นโยบายประชานิยมตีกิน หลอกแดก เมื่อนโยบายพวกนี้ที่ ปั้นตัวเลขให้สูงๆเข้าไว้ ทำได้ไม่ได้อีกเรื่อง เช่น 300 15000 จำนำ15000 เอามารวมกับยี่ห้อ ทักษิณ ไปกันใหญ่เลย เพราะคนเห็นว่าทักษิณเคยทำประชานิยมไว้เยอะ ก็ยิ่งไว้ใจ
3. คนไทยสังคมไทยชอบผลประโยชน์ โกงรับได้แต่ขอให้ตัวเองได้ด้วย จากข้อนี้ เมื่อไปรวมกับ ข้อ 1 กับ ข้อ 2 ไปกันใหญ่เลยครับ เพราะสังคมป่วยแบบนี้ จะไม่ให้เค้าเลือกเพื่อไทยอย่างไร
4. ขบวนการแบ่งแยกประชาชนเอาใจคนจน สร้างความแตกแยกระหว่างคนจน กับ คนชั้นกลางและอำมาตย์ โดยใช้สื่อในมือวิทยุชุมชน ใช้เงินหว่านหัวคะแนน จึงมีเสื้อแดงโผล่มา เค้าคิดว่าเค้าเป็นชนชั้นที่ถูกกดขี่จาก สังคมและอำมาตย์ ทำให้พวกนี้เกาะกลุ่มกัน โดยมียี่ห้อทักษิณค้ำจุน เมื่อเค้าคิดว่าพวกเค้าเป็นกลุ่มเดียวกันและมีทักษิณช่วยเหลือ ทำไมเค้าจะไม่เลือกเพื่อไทยล่ะครับ สื่อเค้าก็ซื้อ ข้าราชการเค้าก็ซื้อ
และการแบ่งแยกประชาชนนี้แหละ ที่ทำให้ ปชป. และอภิสิทธิ์ ไปเหนือ อีสานไม่ได้ตลอดการทำงาน 2ปีกว่า ทำให้เข้าไม่ถึงคนอีสานเหนือไงครับ นี่คือเหตุผล
อภิสิทธิ์ แย่ขนาดนั้นจริงหรือ?
ลองมาดูแบบสำรวจของ คุณหญิง กัลยา และ บทวิจารณ์ของคนอื่นๆนะครับ ผมจะยกมาเฉพาะข้อที่สำคัญนะครับ
1. ปรับทัศนคติ แก้ไขตัวเอง เลิกโทษคนอื่น ไม่ว่าทักษิณ หรือ วิกฤติ เลิกโจมตีทางการเมือง
ตอบ แปลกนะครับ ทีฝั่งเพื่อไทย ด่าอภิสิทธิ์ แทบทุกวัน โจมตีตลอดทั้งที่ไม่จริง แต่ กลับไม่มีใครว่าเค้า เพียงเพราะเค้าชนะเลือกตั้งมั้ง เลยทำไรไม่ผิด แสดงว่า อภิสิทธิ์เอาเรื่องจริงของทักษิณมาพูดแล้วผิดคะแนนหาย แต่ เพื่อไทยด่าอภิสิทธิ์ทั้งที่ไม่จริง แต่ถูก คะแนนเพิ่ม อืม....ดี
ตรง นี้ผมแค่จะบอกว่า เมื่อก่อน ผมก็เลือกทักษิณนะครับ ครั้งแรกและครั้งเดียว แต่พอมีคนมาตีแผ่ความจริง ก็ไอการที่มีคนมาด่ามาว่า โดยเอาข้อเท็จจริงมาให้รับรุ้นี่แหละครับ ผมถึงเปลี่ยนใจ ถ้าไม่มีคนออกมาพูดความจริง แล้วคนเค้าจะรู้เหรอครับ สังเกตนะ เมื่อก่อนทักษิณคะแนนขาดกว่านี้มาก แต่ครั้งหลังๆ คะแนนเค้าน้อยลงนะครับ เพียงแต่เค้ายังได้พื้นที่ฐานเสียงของเค้า คือ เหนืออีสาน
ผม ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะพูดความจริงไม่ได้ ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังนั้น เป็นใครกำลังจะทำอะไรต่อประเทศ ถ้าไม่เปิดเผยความจริง คนก็ไม่รู้และยิ่งทำให้คนเลือกเพื่อไทยมากขึ้นสิครับ ลองถามตัวเองดูหลายๆคนในนี้ ผมคิดว่าเมื่อก่อนก็เลือกทักษิณใช่ไหมครับ ทำไมคุณถึงเปลี่ยนล่ะ
2. เปลี่ยนตัวเองให้ตรงกับประชาชนต้องการ เก่ง กล้า ดี ติดดิน
ตอบ แหม ผมนึกว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการผลประโยชน์ซะอีก ใครให้มากกว่าเอาเสียงไปไรทำนองนั้น เก่ง อภิสิทธิ์ไม่เก่งตรงไหน กล้า อภิสิทธิ์ไม่กล้าตรงไหน ดี อภิสิทธิ์ไม่ดีตรงไหน ติดดิน คนๆนี้ติดดินกว่านายกฯแทบทุกคนที่เคยมีมาครับ
กับเสื้อแดงที่มาด่า ยังเข้าไปคุยใช้เหตุผล อย่างนี้ที่เรียกว่าไม่ฟังใคร?
3. เปลี่ยนนโยบายให้ตรงกับความต้องการมากขึ้น
ตอบ. ก็ประชาชนต้องการผลประโยชน์ดังนั้น หรือจะให้ ปชป. ใช้นโยบายเดียวกับเพื่อไทย คือ ประชานิยมหลอกแดก 300 15000 บ้าพอกัน
คิดดีๆนะครับ นโยบายประกันรายได้ ไม่เคยมีรัฐบาลไหนคิดได้ พอทำมาเห็นผลดีมากมาย ทุกภาคส่วนยอมรับ แต่ประชาชนก็ยังไม่เลือกครับ ศึกษาฟรี เบี้ยยังชีพ ดีไหมครับ แต่เค้าไม่เลือกครับ เพราะอะไรกลับไปอ่าน เหตุผล 4ข้อที่ทำให้เพื่อไทยชนะ
4. เปลี่ยนวิธีสื่อสาร พูดเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย
ตอบ. อันนี้ผมเห็นด้วยครับ เห็นด้วยมากๆ เพราะหลายๆที ท่านพูดแล้วประชาชนทั่วไป ไม่เข้าใจ แต่ผมว่าท่านเปลี่ยนสไตล์การพูดไปเยอะ เห็นได้จากการหาเสียงที่มีลูกเล่น เน้นฮา ผมว่าท่านก็เปลี่ยนนะครับ
5. ปรับโครงสร้างการทำงาน คิดนอกกรอบ ให้ทุกคนในพรรคมีส่วนร่วม
ตอบ. ผมว่า ปชป. เปลี่ยนเรื่อยๆนะครับ เห็นเปลี่ยนหลายคน ทุกคนในพรรคมีส่วนร่วมแน่ เพราะมีการโหวต ไม่เหมือนอีกพรรค ที่สั่งมาจากคนเดียว อันนี้ต้องให้โอกาสครับ
จาก เหตุผลที่แพ้เพื่อไทยทั้ง 4 ข้อ และแบบสำรวจที่ คุณหญิงกัลยา ทำมา คิดจริงๆเหรอครับ ว่าถ้าทำตามแบบสำรวจทั้งหมด แล้ว ปชป.จะชนะ ผมตอบให้ได้เลยครับ ว่าไม่ ไม่ชนะหรอกครับ
ตราบใดที่ เหตุผลทั้ง 4ข้อยังอยู่ ปชป.ไม่ชนะหรอกครับ วิธีมีนะครับ ถ้าจะทำให้ชนะ เค้าให้ 300 15000 ปชป. ก็ใส่เข้าไปสิ 500 20000 ดีไหมครับ คุณต้องการแบบนี้ไหมครับ โกหกหลอกแดก แม้จะทำได้ประเทศชาติก็ล่มจม ดูกรีซเป็นตัวอย่าง หรือจะให้สร้างกลุ่มประชาชนของตัวเอง เสื้อสีไรดี ยังเล่นกีฬาสีกันไม่สนุกพอเหรอครับ
ดังนั้นต้องเข้าใจเหตุผล และสิ่ง ที่ผมคิดว่าพวกเราทำได้คือ ประจานนโยบายเพื่อไทยครับ ไม่ใช่อยู่เฉยๆหรือไม่โจมตีแบบที่บอก ขณะที่เค้าออกนโยบายผิดๆ ชาติจะล่มจม แต่ให้เราอยู่เฉยๆ ไม่โจมตีไม่บอกข้อเท็จจริงให้ประชาชนรู้ งี้ทั้งชาติคุณก็ไม่ชนะเค้าหรอกครับ ต้องทำให้ประชาชนรู้ และเข้าใจ เมื่อถึงเวลานโยบายทำไม่ได้จริง นั่นแหละ ประชาชนจะเข้าใจมากขึ้นเอง
คิดดีๆนะครับ รัฐบาลทำงาน 2ปีกว่า เกิดเหตุจลาจล ปีละครั้ง 2ปี ก็ 2ครั้ง ใช้เวลาในการปราบปรามจัดการ รวมกันก็ประมาณ ครึ่งปีแล้ว รัฐบาลได้ทำงานแค่ไหนกัน ทั้งวิกฤติ เศรษฐกิจ ทั้งจลาจล ทั้งเสื้อเหลือง แดง ไปเหนือ อีสาน ไม่ได้ เจอไล่ฆ่า ไล่หาเรื่องทำร้าย
แต่กลับออกนโยบายดีๆ เรียนฟรี ประกันรายได้ เบี้ยยังชีพ ทำให้เงินทุนสำรองประเทศมากที่สุดในประวัติกาล ทำให้คนตกงานน้อยที่สุด แต่กลับโดนตำหนิแบบไม่ค่อยมีเหตุผล
จริงๆแล้วการจะวิจารณ์เป็นเรื่องที่ดีครับทำได้ แต่ลองวิจารณ์แบบมีเหตุผลและแนะแนวทางด้วย เช่น ผมจะลองวิจารณ์การปราบปรามเสื้อแดง ที่แยกคอกวัว ว่าทำไมต้องทำตอนเย็นไปถึงช่วงกลางคืน ซึ่งมันสุ่มเสี่ยงจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย ดังนั้น การปราบปรามอะไรควรจะต้องทำช่วงเช้าไปกลางวันจะดีกว่ามาก เป็นต้น
จะ วิจารณ์อะไร ตำหนิอะไร ควรแนะแนวทางที่มันดีกว่าเดิมด้วย ไม่ใช่ด่าอย่างเดียว หรือเวลาเค้าทำดีก็ควรจะชมบ้าง ไม่งั้นดนดีๆจะเอากำลังใจจากไหน
ขอทิ้งท้ายอะไรหน่อยนะครับ อภิสิทธิ์ ไม่มีประโยชน์ส่วนตน เข้ามาทำงานเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด โดนขู่ โดนทำร้ายสารพัด ทำงานหนักตลอดเพื่อประชาชนสารพัด ขนาดไม่ได้เป็นนายกฯ ก็ยังทำเพื่อประชาชนตลอด คนแบบนี้ กลับโดนตำหนิด่าว่า สุดท้ายแล้วถ้าท่านท้อและ ลาออกไปจริงๆก็คงสะใจกันใช่ไหมครับ คุ้มไหมกับการที่ท่านไม่ได้อะไรเลย ในการทำงานเพื่อชาติ แต่ต้องมาโดนด่ากระแนะกระแหน
ปล. ขณะที่ทุกท่านกำลังด่า กำลังวิจารณ์ ท่านอภิสิทธิ์ อยู่นั้น ตอนนี้ ท่านกำลังบรรจุ ถุงยังชีพ 2000 ถุงอยู่ที่ พรรค ปชป. เพื่อจะนำไปแจกจ่ายให้ประชาชน
ไม่ เป็นไรครับ ใครจะด่าใครจะว่า อภิสิทธิ์ ต่อให้ผมเป็นคนเดียวในโลกที่ให้กำลังใจท่าน ผมก็จะขอเป็นต่อไป ทำงานเพื่อประชาชนต่อไปนะครับ ท่านนายกฯ
เชิญชวนนะครับใครว่างตอนนี้ พรรค ปชป. พี่มาร์ค กำลังบรรจุถุงยังชีพอยู่ 2000ถุง เริ่มตั้งแต่ 17.00 น. วันนี้นะครับ 5 กันยายน ที่พรรค ปชป. ใครมีจิตอาสาไปช่วยกันนะครับ
และของที่ ท่านช่วยบริจาค หรือ ไปช่วยบรรจุใส่ถุง ก็จะถึงมือประชาชน โดย พี่มาร์ค ไปแจกเองเลยครับ แบบนี้
ขอบคุณครับ นี่แหละคนที่.."ดีแต่พูด"
by Anonym
วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554
อยวลี "ฮู้บ้างว่าไผเป็นไผ" ยังไม่ล้าสมัย เมื่อคนเสื้อแดงอุดร ต้องไปเผชิญความจริงวันนี้ที่เวียงจันทน์!
ประชา บูรพาวิถี
ถ้อยวลี "ฮู้บ้างว่าไผเป็นไผ" ยังไม่ล้าสมัย เมื่อคนเสื้อแดงอุดร ต้องไปเผชิญความจริงวันนี้ที่เวียงจันทน์!
เรื่องเล่าอันชวนขำขื่นเรื่องนี้ เกิดขึ้นเมื่อ ขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร วางแผนจัดทัวร์ฉลองชัยที่ สปป.ลาว ในวันที่ 31 สิงหาคม 2554
"ขวัญชัย" ได้ตีฆ้องร้องป่าวผ่านสถานีวิทยุชมรมคนรักอุดร 97.5 เมกะเฮิรตซ์ และสถานีทีวีดาวเทียม P&P Channel ว่า ตัวเขาเดินทางไปเวียงจันทน์ ได้พบกับ ดร.พูทอง แสงอาคม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สปป.ลาว และ คำมุ่ย แก้วมะนี เจ้าของบริษัทเพ็ดจำปาแอดเวอร์ไทซิ่ง ซึ่งคนลาวทั้งสองต่างชื่นชมพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง
ประธานชมรมคนรักอุดร จึงกำหนดแผนทัวร์เวียงจันทน์ โดยให้สิทธิสมาชิกชมรมฯ จับจองตั๋วทัวร์ลาว ใบละ 1 พันบาท
"ขวัญชัย" ยังประกาศให้ลูกทัวร์สวมเสื้อแดงที่มีโลโก้ "ชมรมคนรักอุดร" เพื่อแสดงพลังคนเสื้อแดงให้คนลาวได้ประจักษ์ โดยทางรัฐมนตรีลาวจะคอยอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง และมีรถตำรวจลาวนำขบวนอย่างโก้หรู
แต่แล้วขวัญชัยก็พลาด! "ดร.พูทอง" ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ แล้ว เนื่องจากมีการยุบการกีฬาไปรวมกับกระทรวงศึกษา เมื่อการประชุมสมัชชาพรรคฯ ต้นปีนี้
"คำมุ่ย" ก็แค่นักธุรกิจบันเทิงคนหนึ่งที่รับจัดงานอีเวนท์ และเคยมีชื่อเสียงสมัยที่ลาวเป็นเจ้าภาพซีเกมส์
ยิ่งมีการปล่อยข่าวผ่านเครือข่ายคนเสื้อแดงอุดรว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะมาพบชมรมคนรักอุดรที่โรงแรมเพ็ดจำปา ในช่วงอาหารเย็น ยิ่งทำให้ "พรรคประชาชนปฏิวัติลาว" รู้สึกไม่พอใจ
ใครก็ทราบว่า บนแผ่นดินฝั่งซ้าย "คณะกรรมการบริหารพรรคประชาชนปฏิวัติลาว" คือผู้กุมอำนาจสูงสุด ทุกการเคลื่อนไหวล้วนอยู่ในสายตาของพรรคฯ
คนต่างด้าวท้าวต่างแดนจะไปใช้แผ่นดินลาว เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง "ผู้พรรคลาว" ไม่ยอมให้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด
พรรคลาวฯ ได้ออกคำสั่งห้ามการเคลื่อนไหวทางการเมืองมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ก่อนหน้าการประชุมสมัชชาพรรคประชาชนปฏิวัติลาว
นี่คือความผิดพลาดอย่างมหันต์ของขวัญชัย และชาวชมรมคนรักอุดร ก็ได้ลิ้มรสกับคำว่า "อำนาจนำของพรรคเดียว" ผ่านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) สปป.ลาว ประจำด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว
เมื่อรถบัส 10 คัน นำสมาชิกชมรมคนรักอุดร จำนวน 567 คน ข้ามโขงไปถึงด่าน ตม. ของ สปป.ลาว ก็พบปัญหาที่อยู่เหนือความคาดหมาย
รองหัวหน้า ตม.ลาว ได้บอกกับขวัญชัยว่า ไม่อนุญาตให้คนเสื้อแดงเดินทางเข้าไปในประเทศ เพราะจะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หากจะเข้าไปเที่ยวเวียงจันทน์จริงๆ ก็ต้องเปลี่ยนจาก "เสื้อแดง" เป็น "เสื้อหลากสี"
"ขวัญชัย" พยายามหาทางเจรจาอยู่นานกว่า 3 ชั่วโมง ก็ไม่เป็นผล แม้จะโทรศัพท์ไปหา ดร.พูทอง ก็ช่วยอะไรไม่ได้ และต่อสายถึง ประจวบ ไชยสาส์น ให้ช่วยเคลียร์กับทางสถานทูตลาวในไทย ก็ไม่ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้
สุดท้าย ขวัญชัย จึงให้ทีมงานไปซื้อเสื้อ กว่า 500 ตัวมาเปลี่ยน แต่รองหัวหน้า ตม.ลาว ก็ยังสั่งยึด "เสื้อแดง" ไว้ทั้งหมด และจะคืนให้เมื่อเดินทางกลับออกมาจากเวียงจันทน์
มิหนำซ้ำ "ทัวร์เสื้อหลากสี" ยังถูกประกบด้วยตำรวจลาว ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ไม่ว่าจะไปเที่ยวสถานที่ใด ก็มีการติดตามสอดส่องทุกฝีก้าว ด้วยเกรงว่าจะมีการแสดงออกทางการเมือง
ในที่สุด ทัวร์วิบากก็กลับไทยเร็วกว่ากำหนด ขวัญชัยจึงต่อสายให้ "นายทักษิณ" โทรศัพท์มาปลอบใจสมาชิก
เรื่องนี้สอนให้ ขวัญชัย รู้ว่า บนแผ่นดินลาวต้อง "แดงคอมมิวนิสต์" เท่านั้น...ฮู้บ้างว่าไผเป็นไผ??
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/pracha/20110902/407594/%E0%B9%84%E0%B8%9C%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9C-.html
ถ้อยวลี "ฮู้บ้างว่าไผเป็นไผ" ยังไม่ล้าสมัย เมื่อคนเสื้อแดงอุดร ต้องไปเผชิญความจริงวันนี้ที่เวียงจันทน์!
เรื่องเล่าอันชวนขำขื่นเรื่องนี้ เกิดขึ้นเมื่อ ขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร วางแผนจัดทัวร์ฉลองชัยที่ สปป.ลาว ในวันที่ 31 สิงหาคม 2554
"ขวัญชัย" ได้ตีฆ้องร้องป่าวผ่านสถานีวิทยุชมรมคนรักอุดร 97.5 เมกะเฮิรตซ์ และสถานีทีวีดาวเทียม P&P Channel ว่า ตัวเขาเดินทางไปเวียงจันทน์ ได้พบกับ ดร.พูทอง แสงอาคม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สปป.ลาว และ คำมุ่ย แก้วมะนี เจ้าของบริษัทเพ็ดจำปาแอดเวอร์ไทซิ่ง ซึ่งคนลาวทั้งสองต่างชื่นชมพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง
ประธานชมรมคนรักอุดร จึงกำหนดแผนทัวร์เวียงจันทน์ โดยให้สิทธิสมาชิกชมรมฯ จับจองตั๋วทัวร์ลาว ใบละ 1 พันบาท
"ขวัญชัย" ยังประกาศให้ลูกทัวร์สวมเสื้อแดงที่มีโลโก้ "ชมรมคนรักอุดร" เพื่อแสดงพลังคนเสื้อแดงให้คนลาวได้ประจักษ์ โดยทางรัฐมนตรีลาวจะคอยอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง และมีรถตำรวจลาวนำขบวนอย่างโก้หรู
แต่แล้วขวัญชัยก็พลาด! "ดร.พูทอง" ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ แล้ว เนื่องจากมีการยุบการกีฬาไปรวมกับกระทรวงศึกษา เมื่อการประชุมสมัชชาพรรคฯ ต้นปีนี้
"คำมุ่ย" ก็แค่นักธุรกิจบันเทิงคนหนึ่งที่รับจัดงานอีเวนท์ และเคยมีชื่อเสียงสมัยที่ลาวเป็นเจ้าภาพซีเกมส์
ยิ่งมีการปล่อยข่าวผ่านเครือข่ายคนเสื้อแดงอุดรว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะมาพบชมรมคนรักอุดรที่โรงแรมเพ็ดจำปา ในช่วงอาหารเย็น ยิ่งทำให้ "พรรคประชาชนปฏิวัติลาว" รู้สึกไม่พอใจ
ใครก็ทราบว่า บนแผ่นดินฝั่งซ้าย "คณะกรรมการบริหารพรรคประชาชนปฏิวัติลาว" คือผู้กุมอำนาจสูงสุด ทุกการเคลื่อนไหวล้วนอยู่ในสายตาของพรรคฯ
คนต่างด้าวท้าวต่างแดนจะไปใช้แผ่นดินลาว เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง "ผู้พรรคลาว" ไม่ยอมให้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด
พรรคลาวฯ ได้ออกคำสั่งห้ามการเคลื่อนไหวทางการเมืองมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ก่อนหน้าการประชุมสมัชชาพรรคประชาชนปฏิวัติลาว
นี่คือความผิดพลาดอย่างมหันต์ของขวัญชัย และชาวชมรมคนรักอุดร ก็ได้ลิ้มรสกับคำว่า "อำนาจนำของพรรคเดียว" ผ่านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) สปป.ลาว ประจำด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว
เมื่อรถบัส 10 คัน นำสมาชิกชมรมคนรักอุดร จำนวน 567 คน ข้ามโขงไปถึงด่าน ตม. ของ สปป.ลาว ก็พบปัญหาที่อยู่เหนือความคาดหมาย
รองหัวหน้า ตม.ลาว ได้บอกกับขวัญชัยว่า ไม่อนุญาตให้คนเสื้อแดงเดินทางเข้าไปในประเทศ เพราะจะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หากจะเข้าไปเที่ยวเวียงจันทน์จริงๆ ก็ต้องเปลี่ยนจาก "เสื้อแดง" เป็น "เสื้อหลากสี"
"ขวัญชัย" พยายามหาทางเจรจาอยู่นานกว่า 3 ชั่วโมง ก็ไม่เป็นผล แม้จะโทรศัพท์ไปหา ดร.พูทอง ก็ช่วยอะไรไม่ได้ และต่อสายถึง ประจวบ ไชยสาส์น ให้ช่วยเคลียร์กับทางสถานทูตลาวในไทย ก็ไม่ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้
สุดท้าย ขวัญชัย จึงให้ทีมงานไปซื้อเสื้อ กว่า 500 ตัวมาเปลี่ยน แต่รองหัวหน้า ตม.ลาว ก็ยังสั่งยึด "เสื้อแดง" ไว้ทั้งหมด และจะคืนให้เมื่อเดินทางกลับออกมาจากเวียงจันทน์
มิหนำซ้ำ "ทัวร์เสื้อหลากสี" ยังถูกประกบด้วยตำรวจลาว ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ไม่ว่าจะไปเที่ยวสถานที่ใด ก็มีการติดตามสอดส่องทุกฝีก้าว ด้วยเกรงว่าจะมีการแสดงออกทางการเมือง
ในที่สุด ทัวร์วิบากก็กลับไทยเร็วกว่ากำหนด ขวัญชัยจึงต่อสายให้ "นายทักษิณ" โทรศัพท์มาปลอบใจสมาชิก
เรื่องนี้สอนให้ ขวัญชัย รู้ว่า บนแผ่นดินลาวต้อง "แดงคอมมิวนิสต์" เท่านั้น...ฮู้บ้างว่าไผเป็นไผ??
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/pracha/20110902/407594/%E0%B9%84%E0%B8%9C%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9C-.html
วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554
เด็ด'วิเชียร'กระเทือน'ตท.12'
ชัดเจนแล้วว่า พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ไม่อาจต้านแรงบีบจากฝ่ายการเมืองที่อ้างถึง "บ่อนกลางกรุง" และ "ความเหมาะสม"
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดแถลงว่า จะโยก พล.ต.อ.วิเชียร ไปนั่งเก้าอี้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แล้วให้ ถวิล เปลี่ยนศรี เลขาฯ สมช.คนปัจจุบัน ไปนั่งประจำที่สำนักนายกฯ
ร.ต.อ.เฉลิมแถลงเรื่องนี้ด้วยอาการกระหยิ่มยิ้มย่อง
ซึ่งมันก็น่าจะเป็นอยู่หรอกเพราะงานนี้ได้ชื่อว่า "ร้อยตำรวจเอก" สั่งเด้ง "พลตำรวจเอก"
แถมยังได้ว่าที่ ผบ.ตร.คนใหม่ที่เป็นเครือญาติสายตรงของ "หญิงอ้อ" พจมาน ณ ป้อมเพชร มานั่งอย่างสมใจทั้งผู้ให้ผู้รับและผู้สั่ง
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ที่คร่ำครวญมาตั้งแต่เมื่อครั้งพลาดเก้าอี้ ผบ.ตร. เคยฟ้องไปที่ศาลปกครองในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้รางวัลในช่วงปีสุดท้ายของชีวิตข้าราชการตำรวจ
ส่วนจะประคับประคองต่อไปได้นานแค่ไหน อาจจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับที่ ร.ต.อ.เฉลิม ที่บอกว่า 6 เดือน บ่อนพนัน-ยาเสพติดยังเกลื่อนเมือง ก็คงอยู่ไม่ได้
เพราะด้วยสายสัมพันธ์เครือญาติที่โอบอุ้มกันมาตั้งแต่แรกจนกลายเป็นดาวโรจน์ในช่วงที่ ทักษิณ ชินวัตร ยังเรืองอำนาจ คำสั่งที่ว่านั้นก็ต้องเป็นคำสั่งที่อาจจะพิเศษ มากกว่าวันที่ พล.ต.อ.วิเชียร ถูกเสนอให้พ้นจากตำแหน่ง
แม้กระทั่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่แทงกั๊ก อ้ำอึ้ง มาตลอดจนกระทั่งหลังจาก ร.ต.อ.เฉลิม แถลงและเข้าพบเพื่อเสนอชื่อ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถึงวันที่ต้องตัดสินใจว่าหากปล่อยให้บ่อน-ยาเต็มบ้านเต็มเมือง เอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าจะกล้าลงดาบหรือไม่
แต่สำหรับ พล.ต.อ.วิเชียรแล้ว เมื่อมาถึงจุดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การได้รับตำแหน่งเลขาฯ สมช.ก็ยังถือว่า พอจะรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีเอาไว้ได้ เพราะยังสามารถถวายการอารักขาได้ตามความตั้งใจที่จะอุทิศชีวิตเป็นราชพลีอยู่แล้ว
ประการสำคัญก็คือ เลขาฯ สมช.เป็นคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. โดยตำแหน่ง !
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรในวันข้างหน้าคงได้รู้กันว่า สิ่งที่วางแผนจะสร้างรัฐตำรวจนั้นมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
การทำงานในตำแหน่งเลขาฯ สมช.ก็จะเป็นการพิสูจน์ความสามารถของ พล.ต.อ.วิเชียร ทั้งในแง่การข่าว และในแง่ของการประคับประคองสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปด้วยพร้อมๆ กัน
อย่างไรก็ตาม มุมมองของ ตท.12 เพื่อนร่วมรุ่นนั้น เรื่องนี้อาจเป็นการลิดกิ่ง ตัดใบไม่ให้กลุ่มก๊วน ตท.12 เข้มแข็ง
เป็น ตท.12 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.เป็นแกนหลัก
วงในกองทัพที่ใกล้ชิดกับรุ่น ตท.12 เผยว่า "มีการพูดคุยกันว่า ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นการท้าทายกันมาก แต่เนื่องจากเป็นเรื่องภายในองค์กรตำรวจ เพื่อนๆ คงช่วยอะไรไม่ได้มาก ได้แต่ให้กำลังใจกันเท่านั้น"
นอกจากนี้ ยังมีการวิเคราะห์กันว่า การปลด พล.ต.อ.วิเชียร ถือเป็นบันไดขั้นแรกในการตัดแขนตัดขา ผบ.ทบ ซึ่ง พล.ต.อ.วิเชียรถือว่าเป็น "แขนซ้าย" ของ พล.อ.ประยุทธ์ ส่วนบรรดา ผบ.เหล่าทัพ ถือเป็น "แขนขวา" ที่คอยประคับประคองเส้นทางอำนาจของ ผบ.ทบ.
"มีการวิเคระห์กันอีกว่า การปลด พล.ต.อ.วิเชียร ถือเป็นจุดเริ่มต้นของแผนการโดดเดี่ยว พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งน่าจะสืบเนื่องมาจากบทเรียนจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่มีการแต่งตั้ง ผบ.เหล่าทัพ และ ผบ.ตร. เป็นนายทหารรุ่นเดียวกัน คือ ตท.6 ทั้งหมดจนนำมาสู่การยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในที่สุด ดังนั้น ต้องจับตาว่า โผ ผบ.เหล่าทัพ ที่มี ตท.12 เป็นแคนดิเดต อาจมีการเปลี่ยนแปลงในบางตำแหน่ง"
จากบทวิเคราะห์ของวงในกองทัพดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า นายห้างดูไบยังคง "ผวา" กับบทเรียนเมื่อปี 2549 ซึ่งการจัดการ ผบ.ตร. อาจส่งผลกระเทือนไปถึงตำแหน่ง ผบ.เหล่าทัพ ของ ตท.12 ในบางตำแหน่ง เพื่อป้องกันไม่ให้กงล้อประวัติศาสตร์ย่ำรอยเดิมอีก
น่าสนใจว่า ความพยายาม "อุดช่องโหว่" ของนายใหญ่ในครั้งนี้จะเป็นการ "แหย่หนวดเสือ" หรือไม่
ว่ากันว่า ชนวนเหตุในการยึดอำนาจเมื่อปี 2549 นอกจากเรื่องการป้องกันเหตุม็อบชนม็อบแล้ว การเตรียมที่จะ "ย้าย ผบ.เหล่าทัพ" ถึง "2 ตำแหน่ง" ในเดือนตุลาคมปี 2549 ก็อาจเป็นชนวนสำคัญที่เร่งให้เกิดการรัฐประหารในครั้งนั้นด้วย
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดแถลงว่า จะโยก พล.ต.อ.วิเชียร ไปนั่งเก้าอี้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แล้วให้ ถวิล เปลี่ยนศรี เลขาฯ สมช.คนปัจจุบัน ไปนั่งประจำที่สำนักนายกฯ
ร.ต.อ.เฉลิมแถลงเรื่องนี้ด้วยอาการกระหยิ่มยิ้มย่อง
ซึ่งมันก็น่าจะเป็นอยู่หรอกเพราะงานนี้ได้ชื่อว่า "ร้อยตำรวจเอก" สั่งเด้ง "พลตำรวจเอก"
แถมยังได้ว่าที่ ผบ.ตร.คนใหม่ที่เป็นเครือญาติสายตรงของ "หญิงอ้อ" พจมาน ณ ป้อมเพชร มานั่งอย่างสมใจทั้งผู้ให้ผู้รับและผู้สั่ง
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ที่คร่ำครวญมาตั้งแต่เมื่อครั้งพลาดเก้าอี้ ผบ.ตร. เคยฟ้องไปที่ศาลปกครองในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้รางวัลในช่วงปีสุดท้ายของชีวิตข้าราชการตำรวจ
ส่วนจะประคับประคองต่อไปได้นานแค่ไหน อาจจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับที่ ร.ต.อ.เฉลิม ที่บอกว่า 6 เดือน บ่อนพนัน-ยาเสพติดยังเกลื่อนเมือง ก็คงอยู่ไม่ได้
เพราะด้วยสายสัมพันธ์เครือญาติที่โอบอุ้มกันมาตั้งแต่แรกจนกลายเป็นดาวโรจน์ในช่วงที่ ทักษิณ ชินวัตร ยังเรืองอำนาจ คำสั่งที่ว่านั้นก็ต้องเป็นคำสั่งที่อาจจะพิเศษ มากกว่าวันที่ พล.ต.อ.วิเชียร ถูกเสนอให้พ้นจากตำแหน่ง
แม้กระทั่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่แทงกั๊ก อ้ำอึ้ง มาตลอดจนกระทั่งหลังจาก ร.ต.อ.เฉลิม แถลงและเข้าพบเพื่อเสนอชื่อ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถึงวันที่ต้องตัดสินใจว่าหากปล่อยให้บ่อน-ยาเต็มบ้านเต็มเมือง เอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าจะกล้าลงดาบหรือไม่
แต่สำหรับ พล.ต.อ.วิเชียรแล้ว เมื่อมาถึงจุดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การได้รับตำแหน่งเลขาฯ สมช.ก็ยังถือว่า พอจะรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีเอาไว้ได้ เพราะยังสามารถถวายการอารักขาได้ตามความตั้งใจที่จะอุทิศชีวิตเป็นราชพลีอยู่แล้ว
ประการสำคัญก็คือ เลขาฯ สมช.เป็นคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. โดยตำแหน่ง !
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรในวันข้างหน้าคงได้รู้กันว่า สิ่งที่วางแผนจะสร้างรัฐตำรวจนั้นมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
การทำงานในตำแหน่งเลขาฯ สมช.ก็จะเป็นการพิสูจน์ความสามารถของ พล.ต.อ.วิเชียร ทั้งในแง่การข่าว และในแง่ของการประคับประคองสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปด้วยพร้อมๆ กัน
อย่างไรก็ตาม มุมมองของ ตท.12 เพื่อนร่วมรุ่นนั้น เรื่องนี้อาจเป็นการลิดกิ่ง ตัดใบไม่ให้กลุ่มก๊วน ตท.12 เข้มแข็ง
เป็น ตท.12 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.เป็นแกนหลัก
วงในกองทัพที่ใกล้ชิดกับรุ่น ตท.12 เผยว่า "มีการพูดคุยกันว่า ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นการท้าทายกันมาก แต่เนื่องจากเป็นเรื่องภายในองค์กรตำรวจ เพื่อนๆ คงช่วยอะไรไม่ได้มาก ได้แต่ให้กำลังใจกันเท่านั้น"
นอกจากนี้ ยังมีการวิเคราะห์กันว่า การปลด พล.ต.อ.วิเชียร ถือเป็นบันไดขั้นแรกในการตัดแขนตัดขา ผบ.ทบ ซึ่ง พล.ต.อ.วิเชียรถือว่าเป็น "แขนซ้าย" ของ พล.อ.ประยุทธ์ ส่วนบรรดา ผบ.เหล่าทัพ ถือเป็น "แขนขวา" ที่คอยประคับประคองเส้นทางอำนาจของ ผบ.ทบ.
"มีการวิเคระห์กันอีกว่า การปลด พล.ต.อ.วิเชียร ถือเป็นจุดเริ่มต้นของแผนการโดดเดี่ยว พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งน่าจะสืบเนื่องมาจากบทเรียนจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่มีการแต่งตั้ง ผบ.เหล่าทัพ และ ผบ.ตร. เป็นนายทหารรุ่นเดียวกัน คือ ตท.6 ทั้งหมดจนนำมาสู่การยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในที่สุด ดังนั้น ต้องจับตาว่า โผ ผบ.เหล่าทัพ ที่มี ตท.12 เป็นแคนดิเดต อาจมีการเปลี่ยนแปลงในบางตำแหน่ง"
จากบทวิเคราะห์ของวงในกองทัพดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า นายห้างดูไบยังคง "ผวา" กับบทเรียนเมื่อปี 2549 ซึ่งการจัดการ ผบ.ตร. อาจส่งผลกระเทือนไปถึงตำแหน่ง ผบ.เหล่าทัพ ของ ตท.12 ในบางตำแหน่ง เพื่อป้องกันไม่ให้กงล้อประวัติศาสตร์ย่ำรอยเดิมอีก
น่าสนใจว่า ความพยายาม "อุดช่องโหว่" ของนายใหญ่ในครั้งนี้จะเป็นการ "แหย่หนวดเสือ" หรือไม่
ว่ากันว่า ชนวนเหตุในการยึดอำนาจเมื่อปี 2549 นอกจากเรื่องการป้องกันเหตุม็อบชนม็อบแล้ว การเตรียมที่จะ "ย้าย ผบ.เหล่าทัพ" ถึง "2 ตำแหน่ง" ในเดือนตุลาคมปี 2549 ก็อาจเป็นชนวนสำคัญที่เร่งให้เกิดการรัฐประหารในครั้งนั้นด้วย
แก้แค้น ไม่แก้ไข คิวต่อไป ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ
ไม่ต้องรอถึง 30 วันตามที่ตัวเองขีดเส้นไว้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ก็ได้คำตอบสำหรับการบ้าน 4 ข้อ ที่มอบให้นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เกือบครบ ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง
เป็นคำตอบที่ชัดเจนไม่ต้องตีความ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบ้านข้อที่ 1 เรื่องเอาเงินทุนสำรองระหว่างประเทศบางส่วนมาตั้งกองทุนความมั่งคั่ง และการบ้านข้อสุดท้าย ที่ให้แบงก์ชาติเลิกคุมเงินเฟ้อไม่ให้เกิน 3% โดยให้ไปขยับเพดานเป้าหมายเงินเฟ้อปีหน้าให้สูงกว่า 3% สองข้อนี้ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติไม่ได้ตอบตรงๆ แต่ความหมายคือไม่ ได้
เรื่องกองทุนความมั่งคั่ง นายประสารอธิบายว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเงินสำรองฯ มากอย่างที่เข้าใจกัน เงินสำรองฯ ส่วนใหญ่เกิดจากเงินไหลเข้าของนักลงทุนต่งาชาติที่มีการลงทุนในไทยรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะถอนออกไปเมื่อไรก็ไม่รู้ แบงก์ชาติต้องมีเงินทุนสำรองฯ เตรียมไว้เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่นักลงทุนถอนเงินกลับออกไป นอกจากนั้น ประเทศไทยมีหนี้ต่างประเทศกว่าแสนล้านบาท เวลาชำระหนี้ต้องเอาเงินตราต่างประเทศที่เป็นเงินสำรองนี้ไปจ่าย
ดังนั้น เงินทุนสำรองฯ ที่รัฐบาลบอกว่ามีอยู่มากนั้น จึงไม่ใช่เงินเย็นเหมือนประเทศที่ร่ำรวยจากน้ำมัน หรือการส่งออก แต่เป็นเงินที่มีภาระในอนาคต
เรื่องการตั้งกองทุนความมั่งคั่งนี้ ดูเหมือนจะเป็นวาระเร่งด่วนของรัฐมนตรีคลัง โดยที่ไม่มีคำอธิบายที่จะหักล้างเหตุผลของแบงก์ชาติได้ เหตุผลของนายธีระชัยที่บอกว่า ที่ผ่านมาการบริหารเงินทุนสำรองฯ ของประเทศให้ผลตอบแทนน้อย ฟังดูนึกว่าเป็นคำพูดของนักลงทุนในตลาดหุ้น หรือวาณิชธนากรที่ชอบการลงทุนแบบ high risk high return มากกว่าจะเป็นคำพูดของรัฐมนตรีคลังที่ต้องคำนึงถึงความมั่นคง ปลอดภัยของทรัพย์สินของชาติ
เป้าหมายของการลงทุนของกองทุนความมั่งคั่ง เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลไม่มีคำตอบชัดเจน นายธีระชัยไม่พูดว่าจะเอาไปลงทุนแหล่งพลังงานเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงาน เหมือนทีนายพิชัย นริพทะพันธ์ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานชอบพูด เพราะจะถูกนำไปโยงกับผลประโยชน์เรื่องแหล่งน้ำมัน-ก๊าซ ในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ของ นช.ทักษิณ ชินวัตร และไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า ปตท.สผ.ซึ่งกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ ก็มีหน้าที่แสวงหาและลงทุนในแหล่งพลังงานอยู่แล้วมิใช่หรือ
ปัญหาพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใส และผลประโยชน์ทับซ้อนในอดีตของผู้อยู่เบื้องหลังและกุนซือในรัฐบาลนี้ ก็เป็นอีกเริ่องหนึ่งที่อาจจะทำให้แบงก์ชาติไม่สบายใจ ไม่รู้ว่ากลัวจะเกิดเหตุการณ์เหมือนครั้งที่อดีตผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ นายวิจิตร สุพินิจ ขอให้นายนิพัทธ พุกกะณะสุต รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการธนาครออมสิน สั่งให้แบงก์ออมสิน ซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ หรือบีบีซี เป็นเงิน 375 ล้านบาท ทั้งๆ ที่นายวิจิตรและนายนิพัทธต่างรู้อยู่แก่ใจว่าฐานะของแบงก์บีบีซีเป็นอย่างไร สุดท้ายแบงก์บีบีซีเจ๊ง ธนาคารออมสินสูญเงินลงทุนทั้งหมดไป
บังเอิญว่า ทั้งนายวิจิตร และนายนิพัทธ ต่างก็เป็นกุนซือของนายธีระชัย ไม่รู้ว่าความบังเอิญนี้จะทำให้แบงก์ชาติคิดมากเกินไปหรือเปล่า
สำหรับเรื่องกรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อปีหน้าที่รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ต้องการให้แบงก์ชาติขยับให้สูงกว่า 3% ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติตอบว่า กรอบเงินเฟ้อในปัจจุบันที่อยู่ระหว่าง 0.5-3% เหมาะสมแล้ว การดำเนินนโยบายการเงินไม่ควรเปลี่ยนบ่อยๆ เพราะจะทำให้ตลาดการเงินขาดเสถียรภาพ และนักลงทุนวางแผนยาก
ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลซึ่งรับผิดชอบนโยบายการคลังกับธนาคารกลางซึ่งดูแลนโยบายการเงิน เป็นเรื่องปกติ เพราะนักการเมืองชอบนโยบายการคลัง และนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย รัฐบาลใช้จ่ายเยอะๆ ลดภาษีให้ต่ำ ดอกเบี้ยถูกๆ ปล่อยกู้มากๆ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโต ประชาชนจะได้พอใจ ส่วนธนาคารกลาง โดยวัฒนธรรมมักจะคอยดึงไม่ให้เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป จากนโยบายของนักการเมืองเพราะกลัวว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่ และเกิดเงินเฟ้อ โดยการขึ้นดอกเบี้ย และส่งสัญญาณท้วงติงรัฐบาลเมื่อเห็นว่าชักจะใช้จ่ายเงินเกินตัวมากไปแล้ว
รัฐบาลนี้ต้องพิสูจน์ว่าเหนือกว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว ในเรื่องการบริหารเศรษฐกิจ ด้วยการกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วและในทันที พร้อมๆ กับสร้างความรับรู้ให้ประชาชนเข้าใจว่า เศรษฐกิจไทยมีปัญหา รัฐบาลต้องเข้ามากอบกู้ ซึ่งไม่จริง เศรษฐกิจไทยอาจจะไม่แข็งแกร่ง มั่นคง แต่ไม่ได้มีปัญหารุนแรงอย่างที่รัฐบาลนี้กำลังสร้างความเชื่อให้กับประชาชน การกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจนี้ถูกกระตุกจากแบงก์ชาติเป็นระยะๆ ทั้งการออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายประชานิยม และการใช้เครื่องมือที่มีอยู่ คือ การขึ้นดอกเบี้ยจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลเห็นว่าขัดแย้งกับนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจของตน
ความขัดแย้งเรื่องนโยบายการเงิน ระหว่างรัฐบาลกับแบงก์ชาติ เป็นเรื่องปกติ แต่ความขัดแย้งระหว่างนายธีระชัย กับนายประสาร เป็นเรื่องไม่ปกติ เพราะมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกีย่วข้องด้วย เพราะนายประสาร รวมทั้ง ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานคณะกรรมการแบงก์ชาติ ถูกรัฐบาลมองว่า คือพรรคประชาธิปัตย์ จึงต้องโละทิ้ง ตามนโยบาย “แก้แค้น ไม่แก้ไข”
นอกจากนั้น หากมองถึงกุนซือ ผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังนายธีระชัย กับ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานแบงก์ชาติ ความขัดแย้งนี้ก็เป็นความขัดแย้งข้ามทศวรรษ ที่มีที่มาในยุคไอเอ็มเอฟ ที่หม่อมเต่าเป็นปลัดกระทรวงการคลัง เป็นความัขดแย้งจากยุค “ขายชาติ” ที่คงอยู่ต่อเนื่องมาถึงยุค “ปล้นคลังหลวง”
พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปลดผู้ว่าฯ แบงก์ชาติได้ ในกรณีที่ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติบกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรง หรือหย่อนความสามารถ โดยเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ลงมติให้ออก แต่กฎหมายป้องกันไม่ให้รัฐมนตรีคลังใช้อำนาจตามอำเภอใจ โดยเขียนไว้ว่า “โดยมติดังกล่าวต้องแสดงเหตุผลในการให้ออกอย่างชัดแจ้ง”
การจะปลดนายประสารจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่นายธีระชัยจะไปหาเหตุผลอย่างชัดแจ้งมาอธิบายต่อสังคม เพราะหากเทียบกันแล้ว คำอธิบายของนายประสารในเรื่องนโยบายการเงิน มีความชัดแจ้งกว่านายธีระชัยมาก นายประสารเพิ่งจะได้รับการประเมินผลงานจากคณะกรรมการตรวจสอบการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยคะแนนร้อยละ 85 มีผลงานที่ดีและน่าพอใจเกือบทุกด้าน ยกเว้นด้านพีอาร์องค์กร
วิธีเดียวที่จะเขี่ยนายประสารให้พ้นทางไป คือ “ขย่ม” ให้ถอดใจ แบบที่ ร.ต.อ เฉลิม อยู่บำรุง ทำกับ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร.ต.อ.เฉลิม ใช้เรื่องบ่อนกดดันให้ พล.ต.อ.วิเชียร ยอมลุกจากเก้าอี้แต่โดยดี นายธีระชัยใช้วิธีตั้งโจทย์ 4 ข้อให้นายประสารตอบ ซึ่งนายประสารตอบมาแล้ว
สุดท้ายขึ้นอยู่กับนายประสารว่าจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวเหมือน พล.ต.อ.วิเชียรหรือไม่ และขึ้นอยู่กับพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทยว่า จะกล้าปกป้ององค์กรหรือไม่
ที่สำคัญที่สุดคือ ขึ้นอยู่กับศิษยานุศิษย์ของหลวงตามหาบัว ว่ายังจำพินัยกรรมหลวงตาได้หรือไม่ และจะพร้อมใจกันปกป้องคลังหลวงอย่างไร
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000110955
เป็นคำตอบที่ชัดเจนไม่ต้องตีความ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบ้านข้อที่ 1 เรื่องเอาเงินทุนสำรองระหว่างประเทศบางส่วนมาตั้งกองทุนความมั่งคั่ง และการบ้านข้อสุดท้าย ที่ให้แบงก์ชาติเลิกคุมเงินเฟ้อไม่ให้เกิน 3% โดยให้ไปขยับเพดานเป้าหมายเงินเฟ้อปีหน้าให้สูงกว่า 3% สองข้อนี้ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติไม่ได้ตอบตรงๆ แต่ความหมายคือไม่ ได้
เรื่องกองทุนความมั่งคั่ง นายประสารอธิบายว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเงินสำรองฯ มากอย่างที่เข้าใจกัน เงินสำรองฯ ส่วนใหญ่เกิดจากเงินไหลเข้าของนักลงทุนต่งาชาติที่มีการลงทุนในไทยรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะถอนออกไปเมื่อไรก็ไม่รู้ แบงก์ชาติต้องมีเงินทุนสำรองฯ เตรียมไว้เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่นักลงทุนถอนเงินกลับออกไป นอกจากนั้น ประเทศไทยมีหนี้ต่างประเทศกว่าแสนล้านบาท เวลาชำระหนี้ต้องเอาเงินตราต่างประเทศที่เป็นเงินสำรองนี้ไปจ่าย
ดังนั้น เงินทุนสำรองฯ ที่รัฐบาลบอกว่ามีอยู่มากนั้น จึงไม่ใช่เงินเย็นเหมือนประเทศที่ร่ำรวยจากน้ำมัน หรือการส่งออก แต่เป็นเงินที่มีภาระในอนาคต
เรื่องการตั้งกองทุนความมั่งคั่งนี้ ดูเหมือนจะเป็นวาระเร่งด่วนของรัฐมนตรีคลัง โดยที่ไม่มีคำอธิบายที่จะหักล้างเหตุผลของแบงก์ชาติได้ เหตุผลของนายธีระชัยที่บอกว่า ที่ผ่านมาการบริหารเงินทุนสำรองฯ ของประเทศให้ผลตอบแทนน้อย ฟังดูนึกว่าเป็นคำพูดของนักลงทุนในตลาดหุ้น หรือวาณิชธนากรที่ชอบการลงทุนแบบ high risk high return มากกว่าจะเป็นคำพูดของรัฐมนตรีคลังที่ต้องคำนึงถึงความมั่นคง ปลอดภัยของทรัพย์สินของชาติ
เป้าหมายของการลงทุนของกองทุนความมั่งคั่ง เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลไม่มีคำตอบชัดเจน นายธีระชัยไม่พูดว่าจะเอาไปลงทุนแหล่งพลังงานเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงาน เหมือนทีนายพิชัย นริพทะพันธ์ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานชอบพูด เพราะจะถูกนำไปโยงกับผลประโยชน์เรื่องแหล่งน้ำมัน-ก๊าซ ในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ของ นช.ทักษิณ ชินวัตร และไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า ปตท.สผ.ซึ่งกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ ก็มีหน้าที่แสวงหาและลงทุนในแหล่งพลังงานอยู่แล้วมิใช่หรือ
ปัญหาพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใส และผลประโยชน์ทับซ้อนในอดีตของผู้อยู่เบื้องหลังและกุนซือในรัฐบาลนี้ ก็เป็นอีกเริ่องหนึ่งที่อาจจะทำให้แบงก์ชาติไม่สบายใจ ไม่รู้ว่ากลัวจะเกิดเหตุการณ์เหมือนครั้งที่อดีตผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ นายวิจิตร สุพินิจ ขอให้นายนิพัทธ พุกกะณะสุต รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการธนาครออมสิน สั่งให้แบงก์ออมสิน ซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ หรือบีบีซี เป็นเงิน 375 ล้านบาท ทั้งๆ ที่นายวิจิตรและนายนิพัทธต่างรู้อยู่แก่ใจว่าฐานะของแบงก์บีบีซีเป็นอย่างไร สุดท้ายแบงก์บีบีซีเจ๊ง ธนาคารออมสินสูญเงินลงทุนทั้งหมดไป
บังเอิญว่า ทั้งนายวิจิตร และนายนิพัทธ ต่างก็เป็นกุนซือของนายธีระชัย ไม่รู้ว่าความบังเอิญนี้จะทำให้แบงก์ชาติคิดมากเกินไปหรือเปล่า
สำหรับเรื่องกรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อปีหน้าที่รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ต้องการให้แบงก์ชาติขยับให้สูงกว่า 3% ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติตอบว่า กรอบเงินเฟ้อในปัจจุบันที่อยู่ระหว่าง 0.5-3% เหมาะสมแล้ว การดำเนินนโยบายการเงินไม่ควรเปลี่ยนบ่อยๆ เพราะจะทำให้ตลาดการเงินขาดเสถียรภาพ และนักลงทุนวางแผนยาก
ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลซึ่งรับผิดชอบนโยบายการคลังกับธนาคารกลางซึ่งดูแลนโยบายการเงิน เป็นเรื่องปกติ เพราะนักการเมืองชอบนโยบายการคลัง และนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย รัฐบาลใช้จ่ายเยอะๆ ลดภาษีให้ต่ำ ดอกเบี้ยถูกๆ ปล่อยกู้มากๆ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโต ประชาชนจะได้พอใจ ส่วนธนาคารกลาง โดยวัฒนธรรมมักจะคอยดึงไม่ให้เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป จากนโยบายของนักการเมืองเพราะกลัวว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่ และเกิดเงินเฟ้อ โดยการขึ้นดอกเบี้ย และส่งสัญญาณท้วงติงรัฐบาลเมื่อเห็นว่าชักจะใช้จ่ายเงินเกินตัวมากไปแล้ว
รัฐบาลนี้ต้องพิสูจน์ว่าเหนือกว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว ในเรื่องการบริหารเศรษฐกิจ ด้วยการกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วและในทันที พร้อมๆ กับสร้างความรับรู้ให้ประชาชนเข้าใจว่า เศรษฐกิจไทยมีปัญหา รัฐบาลต้องเข้ามากอบกู้ ซึ่งไม่จริง เศรษฐกิจไทยอาจจะไม่แข็งแกร่ง มั่นคง แต่ไม่ได้มีปัญหารุนแรงอย่างที่รัฐบาลนี้กำลังสร้างความเชื่อให้กับประชาชน การกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจนี้ถูกกระตุกจากแบงก์ชาติเป็นระยะๆ ทั้งการออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายประชานิยม และการใช้เครื่องมือที่มีอยู่ คือ การขึ้นดอกเบี้ยจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลเห็นว่าขัดแย้งกับนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจของตน
ความขัดแย้งเรื่องนโยบายการเงิน ระหว่างรัฐบาลกับแบงก์ชาติ เป็นเรื่องปกติ แต่ความขัดแย้งระหว่างนายธีระชัย กับนายประสาร เป็นเรื่องไม่ปกติ เพราะมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกีย่วข้องด้วย เพราะนายประสาร รวมทั้ง ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานคณะกรรมการแบงก์ชาติ ถูกรัฐบาลมองว่า คือพรรคประชาธิปัตย์ จึงต้องโละทิ้ง ตามนโยบาย “แก้แค้น ไม่แก้ไข”
นอกจากนั้น หากมองถึงกุนซือ ผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังนายธีระชัย กับ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานแบงก์ชาติ ความขัดแย้งนี้ก็เป็นความขัดแย้งข้ามทศวรรษ ที่มีที่มาในยุคไอเอ็มเอฟ ที่หม่อมเต่าเป็นปลัดกระทรวงการคลัง เป็นความัขดแย้งจากยุค “ขายชาติ” ที่คงอยู่ต่อเนื่องมาถึงยุค “ปล้นคลังหลวง”
พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปลดผู้ว่าฯ แบงก์ชาติได้ ในกรณีที่ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติบกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรง หรือหย่อนความสามารถ โดยเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ลงมติให้ออก แต่กฎหมายป้องกันไม่ให้รัฐมนตรีคลังใช้อำนาจตามอำเภอใจ โดยเขียนไว้ว่า “โดยมติดังกล่าวต้องแสดงเหตุผลในการให้ออกอย่างชัดแจ้ง”
การจะปลดนายประสารจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่นายธีระชัยจะไปหาเหตุผลอย่างชัดแจ้งมาอธิบายต่อสังคม เพราะหากเทียบกันแล้ว คำอธิบายของนายประสารในเรื่องนโยบายการเงิน มีความชัดแจ้งกว่านายธีระชัยมาก นายประสารเพิ่งจะได้รับการประเมินผลงานจากคณะกรรมการตรวจสอบการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยคะแนนร้อยละ 85 มีผลงานที่ดีและน่าพอใจเกือบทุกด้าน ยกเว้นด้านพีอาร์องค์กร
วิธีเดียวที่จะเขี่ยนายประสารให้พ้นทางไป คือ “ขย่ม” ให้ถอดใจ แบบที่ ร.ต.อ เฉลิม อยู่บำรุง ทำกับ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร.ต.อ.เฉลิม ใช้เรื่องบ่อนกดดันให้ พล.ต.อ.วิเชียร ยอมลุกจากเก้าอี้แต่โดยดี นายธีระชัยใช้วิธีตั้งโจทย์ 4 ข้อให้นายประสารตอบ ซึ่งนายประสารตอบมาแล้ว
สุดท้ายขึ้นอยู่กับนายประสารว่าจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวเหมือน พล.ต.อ.วิเชียรหรือไม่ และขึ้นอยู่กับพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทยว่า จะกล้าปกป้ององค์กรหรือไม่
ที่สำคัญที่สุดคือ ขึ้นอยู่กับศิษยานุศิษย์ของหลวงตามหาบัว ว่ายังจำพินัยกรรมหลวงตาได้หรือไม่ และจะพร้อมใจกันปกป้องคลังหลวงอย่างไร
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000110955
แผนร้ายที่ประชาชนคิดไม่ถึง
แผนร้ายที่ประชาชนคิดไม่ถึง...น่ากลัวยิ่งนัก!
เหลือบตามองไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็เห็นแต่รังสีอำมหิตจ้องพิฆาต พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ให้พ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. เพื่อยกเก้าอี้ให้ พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิง พจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตเมียรัก พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
ได้ถึงฝั่งฝันในตำแหน่งสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเป็นเกียรติยศต่อวงศ์ตระกูลก่อนเกษียณอายุราชการในปีหน้า
โดยเอาเรื่องบ่อนที่ เจ่าพ่ออ่างรับใบสั่งมามาบีบ แต่การเร่งรีบใช้อำนาจอย่างไร้น้ำใจ ทำให้ทุกอย่างมันไม่เนียน สังคมเขาจับได้ไล่ทันว่าเป็นแผนเอาเก้าอี้ใส่พานให้วงศ์วานว่านเครือของทักษิณ
เพราะถ้ามีความจริงใจในการหาคนผิดมาลงโทษกรณีบ่อนกลางกรุง ต้องสอบสวนให้ถึงที่สุดว่าเกี่ยวพันใครบ้าง ไม่ใช่ผลสอบยังไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวพันไปถึง ผบ.ตร. แต่ เป็ดเหลิม กลับออกมาก๊าบ ๆ ว่า จะได้เห็นโฉมหน้า ผบ.ตร.ใหม่ภายใน 7 วัน
นี่ก็เป็นอีกกลยุทธ์ในการสัญญาณจัดระเบียบข้าราชการให้อยู่ในแถวตามแนวที่รัฐจะจัดให้ หากใครออกนอกแถวก็จะถูกจัดการให้หลุดออกจากวงโคจรของอำนาจ
จึงไม่น่าแปลกใจที่ก่อการร้ายแดง ผู้ต้องหาติดคดีจำนวนมากเดินตบเท้าเข้ามากินเงินหลวง เดินก้ามโตรับตำแหน่งทางการเมืองกันเป็นแถว
ยุคไพร่ครองเมืองก็เป็นอย่างนี้แหละ หิริโอตัปปะ ไม่มีในสารานุกรม นอกจากท่องอยู่คำเดียวว่า "อย่าได้แคร์"
แต่สำหรับสังคมไทยเราคงไม่แคร์ไม่ได้ เพราะมีหลายประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องที่สังคมอาจมองข้ามไป โดยเฉพาะกรณี เจ๋ง ดอกจิก หรือยศวริศ ชูกล่อม ที่ได้ดิบได้ดีเป็น เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายธานิสร์ เทียนทอง เตรียมที่จะเสนอให้คนเสื้อแดงมาเป็นอาสาป้องกันภัยในภาคประชาชน
"ทันทีที่เข้ากระทรวง เตรียมเสนอแนวคิดให้ รมช.มหาดไทย โดยจะขอให้นำมวลชนเสื้อแดงมาเป็นอาสาป้องกันภัยในภาคประชาชน ในรูปแบบคล้ายมูลนิธิ เช่นเกิดเหตุไฟไหม้ ก็ให้อาสาป้องกันภัยเสื้อแดงเข้าไปช่วยเหลือ เพื่อทำตัวให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม"
ฟังดูเหมือนจะดี แต่ถ้ามองให้ลึกลงไป จะเห็นถึงความน่ากลัวผ่านวิธีคิดนี้หลายประการ
1 เป็นการแบ่งแยกประชาชนอย่างชัดแจ้ง ทั้งๆ ที่งานช่วยเหลือสังคมนั้นเป็นสปิริตจิตอาสาที่ทุกคนมีสิทธิ์ดำเนินการได้ ไม่ใช่จำกัดสิทธิให้เฉพาะคนเสื้อแดง
2. การผลักดันให้คนเสื้อแดงเป็นอาสาป้องกันภัยนั้น จะเป็นการเพิ่มสถานะให้คนเหล่านี้ ทั้งค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์ทางตรงและทางอ้อม เรียกว่าจากเดิมที่ใช้บัตร นปช.กร่าง ก็เปลี่ยนมาเป็นบัตรอาสาแทน
3. ยังไม่มีความชัดเจนว่า อาสาป้องกันภัยภาคประชาชน ดังกล่าว จะมีวาระซ่อนเร้นให้คนเหล่านี้ติดอาวุธได้ด้วยหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นว่าใช้เงินภาษีประชาขนตั้งกองกำลังเสื้อแดงพิทักษ์ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ไม่ใช่ปกป้องบ้านเมือง
หากเกิดปัญหากับ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ก็อาจมีการใช้อาสาแดงเหล่านี้มาเป็น เรดการ์ดเด็ดหัวฝ่ายตรงข้าม นอกเหนือไปจากกลุ่มถ่อยเถื่อนข้างถนนที่พร้อมท้าตีท้าต่อยกับคนในสังคมที่อยู่ฟากตรงข้ามกับรัฐบาล
กล่าวเช่นนี้ ไม่ได้เป็นการวิตกจริตเกินเหตุ แต่เป็นสิ่งที่เคยเกิดมาแล้ว ในกรณีที่ยุทธ ตู้เย็นใช้เจ้าหน้าที่ป่าไม้มาเป็นกองกำลังส่วนตัวเพื่อเป็นฐานทางการเมืองในช่วง “ระบอบทักษิณ” ครองอำนาจ
วิธีคิดที่ใช้งบประมาณ เครื่องไม้เครื่องมือ อาวุธยุทโธปกรณ์ ของรัฐไปรับใช้การเมือง จึงเป็นเรื่องที่อันธพาลในอำนาจรัฐพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่
อาสาป้องกันภัยภาคประชาชนแดงของ เจ๋ง ดอกจิก ที่ยกตัวอย่างว่า จะเข้าไปช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้นั้น อาจกลายเป็นว่า อาสาป้องกันภัยเหล่านี้ดับไฟไม่เป็นเพราะถนัดแต่เผาเมืองมากกว่า เลวร้ายไปกว่านั้น คือ
อาจถึงขั้นใช้อาวุธราชการปล้นบ้าน ชิงเมือง สร้าง “รัฐไทยใหม่” ก็ได้...ใครจะรู้?
by ครูทิพย์
เหลือบตามองไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็เห็นแต่รังสีอำมหิตจ้องพิฆาต พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ให้พ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. เพื่อยกเก้าอี้ให้ พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิง พจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตเมียรัก พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
ได้ถึงฝั่งฝันในตำแหน่งสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเป็นเกียรติยศต่อวงศ์ตระกูลก่อนเกษียณอายุราชการในปีหน้า
โดยเอาเรื่องบ่อนที่ เจ่าพ่ออ่างรับใบสั่งมามาบีบ แต่การเร่งรีบใช้อำนาจอย่างไร้น้ำใจ ทำให้ทุกอย่างมันไม่เนียน สังคมเขาจับได้ไล่ทันว่าเป็นแผนเอาเก้าอี้ใส่พานให้วงศ์วานว่านเครือของทักษิณ
เพราะถ้ามีความจริงใจในการหาคนผิดมาลงโทษกรณีบ่อนกลางกรุง ต้องสอบสวนให้ถึงที่สุดว่าเกี่ยวพันใครบ้าง ไม่ใช่ผลสอบยังไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวพันไปถึง ผบ.ตร. แต่ เป็ดเหลิม กลับออกมาก๊าบ ๆ ว่า จะได้เห็นโฉมหน้า ผบ.ตร.ใหม่ภายใน 7 วัน
นี่ก็เป็นอีกกลยุทธ์ในการสัญญาณจัดระเบียบข้าราชการให้อยู่ในแถวตามแนวที่รัฐจะจัดให้ หากใครออกนอกแถวก็จะถูกจัดการให้หลุดออกจากวงโคจรของอำนาจ
จึงไม่น่าแปลกใจที่ก่อการร้ายแดง ผู้ต้องหาติดคดีจำนวนมากเดินตบเท้าเข้ามากินเงินหลวง เดินก้ามโตรับตำแหน่งทางการเมืองกันเป็นแถว
ยุคไพร่ครองเมืองก็เป็นอย่างนี้แหละ หิริโอตัปปะ ไม่มีในสารานุกรม นอกจากท่องอยู่คำเดียวว่า "อย่าได้แคร์"
แต่สำหรับสังคมไทยเราคงไม่แคร์ไม่ได้ เพราะมีหลายประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องที่สังคมอาจมองข้ามไป โดยเฉพาะกรณี เจ๋ง ดอกจิก หรือยศวริศ ชูกล่อม ที่ได้ดิบได้ดีเป็น เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายธานิสร์ เทียนทอง เตรียมที่จะเสนอให้คนเสื้อแดงมาเป็นอาสาป้องกันภัยในภาคประชาชน
"ทันทีที่เข้ากระทรวง เตรียมเสนอแนวคิดให้ รมช.มหาดไทย โดยจะขอให้นำมวลชนเสื้อแดงมาเป็นอาสาป้องกันภัยในภาคประชาชน ในรูปแบบคล้ายมูลนิธิ เช่นเกิดเหตุไฟไหม้ ก็ให้อาสาป้องกันภัยเสื้อแดงเข้าไปช่วยเหลือ เพื่อทำตัวให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม"
ฟังดูเหมือนจะดี แต่ถ้ามองให้ลึกลงไป จะเห็นถึงความน่ากลัวผ่านวิธีคิดนี้หลายประการ
1 เป็นการแบ่งแยกประชาชนอย่างชัดแจ้ง ทั้งๆ ที่งานช่วยเหลือสังคมนั้นเป็นสปิริตจิตอาสาที่ทุกคนมีสิทธิ์ดำเนินการได้ ไม่ใช่จำกัดสิทธิให้เฉพาะคนเสื้อแดง
2. การผลักดันให้คนเสื้อแดงเป็นอาสาป้องกันภัยนั้น จะเป็นการเพิ่มสถานะให้คนเหล่านี้ ทั้งค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์ทางตรงและทางอ้อม เรียกว่าจากเดิมที่ใช้บัตร นปช.กร่าง ก็เปลี่ยนมาเป็นบัตรอาสาแทน
3. ยังไม่มีความชัดเจนว่า อาสาป้องกันภัยภาคประชาชน ดังกล่าว จะมีวาระซ่อนเร้นให้คนเหล่านี้ติดอาวุธได้ด้วยหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นว่าใช้เงินภาษีประชาขนตั้งกองกำลังเสื้อแดงพิทักษ์ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ไม่ใช่ปกป้องบ้านเมือง
หากเกิดปัญหากับ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ก็อาจมีการใช้อาสาแดงเหล่านี้มาเป็น เรดการ์ดเด็ดหัวฝ่ายตรงข้าม นอกเหนือไปจากกลุ่มถ่อยเถื่อนข้างถนนที่พร้อมท้าตีท้าต่อยกับคนในสังคมที่อยู่ฟากตรงข้ามกับรัฐบาล
กล่าวเช่นนี้ ไม่ได้เป็นการวิตกจริตเกินเหตุ แต่เป็นสิ่งที่เคยเกิดมาแล้ว ในกรณีที่ยุทธ ตู้เย็นใช้เจ้าหน้าที่ป่าไม้มาเป็นกองกำลังส่วนตัวเพื่อเป็นฐานทางการเมืองในช่วง “ระบอบทักษิณ” ครองอำนาจ
วิธีคิดที่ใช้งบประมาณ เครื่องไม้เครื่องมือ อาวุธยุทโธปกรณ์ ของรัฐไปรับใช้การเมือง จึงเป็นเรื่องที่อันธพาลในอำนาจรัฐพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่
อาสาป้องกันภัยภาคประชาชนแดงของ เจ๋ง ดอกจิก ที่ยกตัวอย่างว่า จะเข้าไปช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้นั้น อาจกลายเป็นว่า อาสาป้องกันภัยเหล่านี้ดับไฟไม่เป็นเพราะถนัดแต่เผาเมืองมากกว่า เลวร้ายไปกว่านั้น คือ
อาจถึงขั้นใช้อาวุธราชการปล้นบ้าน ชิงเมือง สร้าง “รัฐไทยใหม่” ก็ได้...ใครจะรู้?
by ครูทิพย์
วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554
เปรียบเทียบประวัติของ"วิเชียร"และ"เพรียวพันธ์" ให้ดูคุณสมบัติของ2คนนี้เป็นยังไง!!
เปรียบเทียบประวัติของ"วิเชียร"และ"เพรียวพันธ์" ให้ดูคุณสมบัติของ2คนนี้เป็นยังไง!!
ประวัติ"วิเชียร"
พลตำรวจเอก วิเชียร์ พจน์โพธิ์ศรี เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2496 ที่อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น โดยเป็นบุตรของนายพจน์ และนางหนูเกตุ โพธิ์ศรี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน และระดับอุดมศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 28 ปริญญาโท จาก 3 สถาบัน คือ คณะพัฒนบริหารศาสตร์ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า), คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และปริญญาโท ด้านกฎหมายเศรษฐกิจ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังจบหลักสูตร F.B.I. รุ่น 159, หลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 388 และหลักสูตรบริหารงานตำรวจ จากประเทศอังกฤษอีกด้วย และต่อมายังได้ก่อตั้งเครือข่ายของ F.B.I. ขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และเป็นนายกสมาคมนักเรียนเก่า F.B.I.N.A. แห่งประเทศไทย โดยถือเป็นสมาคมนักเรียนเก่าของ F.B.I. สถาบันแรกในโลกที่ก่อตั้งขึ้นนอกพื้นที่สหรัฐอเมริกาอีกด้วย และได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแห
พล.ต.อ.วิเชียร ได้รับการติดยศ พลตำรวจเอก (พล.ต.อ.) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ในตำแหน่งหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ (นรป.) ซึ่งถือว่าครองยศ พล.ต.อ. ก่อนรอง ผบ.ตร. และผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าคนอื่น ๆ ในรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่อมา พล.ต.อ.วิเชียร ถูกโยกมาดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง และรับผิดชอบงานด้านรักษาความสงบเรียบร้อยในการเลือกตั้ง (ศรส.ลต.ตร.) ตลอดจนงานดูแลความสงบในการชุมนุมทางการเมือง ซึ่ง พล.ต.อ.วิเชียร มีผลงานในเรื่องการควบคุมสถานการณ์ในวันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ได้อย่างดีเยี่ยมจนได้รับการยกย่อง
ชื่อของ พล.ต.อ.วิเชียร เป็นที่สนใจของสาธารณชนเมื่อได้รับคำสั่งจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแทน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ 2 ครั้ง ซึ่งลาพักราชการตามคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552 จนถึงวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552 และอีกครั้งในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552 จนถึงวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552 โดยก่อนหน้านั้น พล.ต.อ.วิเชียรดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 10) รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.วิเชียรได้เข้าดำรงตำแหน่งรักษาการผู้บัญการการตำรวจแห่งชาติ เพื่อคลี่คลายวิกฤติการณ์ทางการเมืองที่รุมเร้าเนื่องจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ถูกสังคมบางส่วนเพ่งเล็งว่าเป็น "ตอ" ทำให้คดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์และสื่อในเครือผู้จัดการ ไม่มีความคืบหน้า ด้วย พล.ต.อ.วิเชียร มีภาพลักษณ์ของนายตำรวจที่เป็นกลาง ไม่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ชีวิตส่วนตัว พล.ต.อ.วิเชียร มีนามสกุลเดิมว่า "โพธิ์ศรี" แต่ได้นำชื่อของบิดามาเพิ่มต่อหน้านามสกุล มีชื่อเล่นว่า "น้อย" ขณะที่เพื่อน ๆ จะเรียกกันว่า "น้าน้อย" สมรสกับนางกิ่งดาว พจน์โพธิ์ศรี
พลตำรวจเอก วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ถือว่าเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนแรกที่ได้รับมอบหมายตามพระราชบัญญํติความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ให้เป็น ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งเป็นศูนย์ที่จักตั้งเพื่อควบคุมการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ก่อนหน้านี้ หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการควบคุมการชุมนุมจะได้แก่ ผู้บัญชาการทหารบก หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นหรือ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง โดยหลังจากรับตำแหน่งนี้พลตำรวจเอก วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ได้แต่งตั้ง พลตำตรวจตรี ประวุฒิ ถาวรศิริ เป็น(โฆษก ศอ.รส.)พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย และ พล.ต.ต.พินิต มณีรัตน์เป็น(รองโฆษก ศอ.รส.)และได้ออกใช้อำนาจตาม มาตรา 18 พรบ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ออกหมายเรียกกลุ่มพันธมิตรประชาชนประชาธิปไตยมารับทราบข้อกล่าวหา เนื่องจากฝ่าฝืนข้อกำหนด
ประวัติ"เพรียวพันธ์"
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่น 12 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากสหรัฐอเมริกา มีเพื่อนร่วมรุ่น นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ รุ่น 12 ที่มีชื่อเสียง คือ นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร
ชีวิตส่วนตัว พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เคยสมรสกับ น.ส.ปาริชาติ ดิษยะศริน ก่อนจะหย่าร้างกันเมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบัน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ยังครองตัวเป็นโสด
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เข้าสู่วงการตำรวจ โดยไม่ได้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่ผ่านการอบรมหลักสูตร นายร้อยตำรวจอบรม รุ่นที่ 16 (นรอ.16) เริ่มรับราชการเมื่อปี พ.ศ. 2514 ตำแหน่งสำรองพิเศษ สังกัด กก.2ส. ต่อมาได้เป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตร ในปี พ.ศ. 2517 ในตำแหน่งรองสารวัตรแผนก 1 กก.สส.นครบาลเหนือ และได้ดำรงตำแหน่งวนเวียนอยู่เฉพาะในเขตนครบาลเกือบ 10 ปี โดยเป็นสารวัตรสอบสวน สน.จักรวรรดิ สน.ปทุมวัน และสน.ทุ่งมหาเมฆ จนถึงปี พ.ศ. 2523 ได้เป็น สารวัตรปราบปราม สน.นางเลิ้ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2526 จึงได้ออกต่างจังหวัดระยะสั้น ๆ โดยดำรงตำแหน่งสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง จ.ภูเก็ต ไม่ถึง 1 ปีก็กลับเข้านครบาลอีกครั้ง โดยได้ดำรงตำแหน่ง รอง ผกก. 2 ป. ตามด้วย ผกก.(กอ.รมน.)กำลังพล และ ผู้กำกับการตำรวจท่องเที่ยว ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการกองปราบปราม และรองผู้บัญชาการกองปราบปราม ก่อนจะดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และได้เป็น ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ปส.) เมื่อปี พ.ศ. 2543
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ มีผลงานโดดเด่นด้านการปราบปรามยาเสพติดตามนโยบายทำสงครามกับยาเสพติดในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเติบโตก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ราชการอย่างมาก โดยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทั้งที่เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีอาวุโสเป็นอันดับ 5 ก้าวข้ามอาวุโสผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนอื่น ๆ ที่มีอาวุโสสูงกว่าในขณะนั้น 4 คน คือ พล.ต.ท.บุญเพ็ญ บำเพ็ญบุญ, พล.ต.ท.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส, พล.ต.ท.สุเทพ ธรรมรักษ์ และ พล.ต.ท.ณพัฒน์ ศรีหิรัญ และต่อมาได้ครองยศ พล.ต.อ. ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ซึ่งทำให้ได้รับการวิจารณ์ว่าเป็นเพราะความเป็นเครือญาติกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นายกรัฐมนตรี
ต่อมาหลังการ รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถูกโยกย้ายไปเป็น ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ด้านความมั่นคง ในสังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ต่อมาหลังจากพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551 พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ได้กลับมาดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอีกครั้ง ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2551 จนถึงปัจจุบัน
แม้จะเพิ่งกลับมาดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2551 แต่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถือเป็น รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีอาวุโสสูงสุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีคำสั่งศาลปกครองให้นับอาวุโสของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ต่อเนื่องตั้งแต่ได้ดำรงตำแหน่งครั้งแรก ทำให้เป็นผู้หนึ่งที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต่อจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่จะเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ. 2552
ซึ่งเมื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ปรึกษา สบ.10 ดำรงตำแหน่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อขอความเป็นธรรม โดยยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เนื่องจากอ้างว่าตนเป็นรอง ผบ.ตร.ที่อาวุโสสูงสุด จึงควรจะได้รับตำแหน่งนี้มากกว่า
....................
ใครกันแน่ที่คู่ควรกับตำแหน่ง ผบ.ตร. มากที่สุด!!
ประวัติ"วิเชียร"
พลตำรวจเอก วิเชียร์ พจน์โพธิ์ศรี เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2496 ที่อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น โดยเป็นบุตรของนายพจน์ และนางหนูเกตุ โพธิ์ศรี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน และระดับอุดมศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 28 ปริญญาโท จาก 3 สถาบัน คือ คณะพัฒนบริหารศาสตร์ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า), คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และปริญญาโท ด้านกฎหมายเศรษฐกิจ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังจบหลักสูตร F.B.I. รุ่น 159, หลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 388 และหลักสูตรบริหารงานตำรวจ จากประเทศอังกฤษอีกด้วย และต่อมายังได้ก่อตั้งเครือข่ายของ F.B.I. ขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และเป็นนายกสมาคมนักเรียนเก่า F.B.I.N.A. แห่งประเทศไทย โดยถือเป็นสมาคมนักเรียนเก่าของ F.B.I. สถาบันแรกในโลกที่ก่อตั้งขึ้นนอกพื้นที่สหรัฐอเมริกาอีกด้วย และได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแห
พล.ต.อ.วิเชียร ได้รับการติดยศ พลตำรวจเอก (พล.ต.อ.) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ในตำแหน่งหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ (นรป.) ซึ่งถือว่าครองยศ พล.ต.อ. ก่อนรอง ผบ.ตร. และผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าคนอื่น ๆ ในรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่อมา พล.ต.อ.วิเชียร ถูกโยกมาดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง และรับผิดชอบงานด้านรักษาความสงบเรียบร้อยในการเลือกตั้ง (ศรส.ลต.ตร.) ตลอดจนงานดูแลความสงบในการชุมนุมทางการเมือง ซึ่ง พล.ต.อ.วิเชียร มีผลงานในเรื่องการควบคุมสถานการณ์ในวันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ได้อย่างดีเยี่ยมจนได้รับการยกย่อง
ชื่อของ พล.ต.อ.วิเชียร เป็นที่สนใจของสาธารณชนเมื่อได้รับคำสั่งจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแทน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ 2 ครั้ง ซึ่งลาพักราชการตามคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552 จนถึงวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552 และอีกครั้งในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552 จนถึงวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552 โดยก่อนหน้านั้น พล.ต.อ.วิเชียรดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 10) รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.วิเชียรได้เข้าดำรงตำแหน่งรักษาการผู้บัญการการตำรวจแห่งชาติ เพื่อคลี่คลายวิกฤติการณ์ทางการเมืองที่รุมเร้าเนื่องจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ถูกสังคมบางส่วนเพ่งเล็งว่าเป็น "ตอ" ทำให้คดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์และสื่อในเครือผู้จัดการ ไม่มีความคืบหน้า ด้วย พล.ต.อ.วิเชียร มีภาพลักษณ์ของนายตำรวจที่เป็นกลาง ไม่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ชีวิตส่วนตัว พล.ต.อ.วิเชียร มีนามสกุลเดิมว่า "โพธิ์ศรี" แต่ได้นำชื่อของบิดามาเพิ่มต่อหน้านามสกุล มีชื่อเล่นว่า "น้อย" ขณะที่เพื่อน ๆ จะเรียกกันว่า "น้าน้อย" สมรสกับนางกิ่งดาว พจน์โพธิ์ศรี
พลตำรวจเอก วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ถือว่าเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนแรกที่ได้รับมอบหมายตามพระราชบัญญํติความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ให้เป็น ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งเป็นศูนย์ที่จักตั้งเพื่อควบคุมการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ก่อนหน้านี้ หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการควบคุมการชุมนุมจะได้แก่ ผู้บัญชาการทหารบก หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นหรือ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง โดยหลังจากรับตำแหน่งนี้พลตำรวจเอก วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ได้แต่งตั้ง พลตำตรวจตรี ประวุฒิ ถาวรศิริ เป็น(โฆษก ศอ.รส.)พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย และ พล.ต.ต.พินิต มณีรัตน์เป็น(รองโฆษก ศอ.รส.)และได้ออกใช้อำนาจตาม มาตรา 18 พรบ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ออกหมายเรียกกลุ่มพันธมิตรประชาชนประชาธิปไตยมารับทราบข้อกล่าวหา เนื่องจากฝ่าฝืนข้อกำหนด
ประวัติ"เพรียวพันธ์"
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่น 12 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากสหรัฐอเมริกา มีเพื่อนร่วมรุ่น นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ รุ่น 12 ที่มีชื่อเสียง คือ นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร
ชีวิตส่วนตัว พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เคยสมรสกับ น.ส.ปาริชาติ ดิษยะศริน ก่อนจะหย่าร้างกันเมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบัน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ยังครองตัวเป็นโสด
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เข้าสู่วงการตำรวจ โดยไม่ได้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่ผ่านการอบรมหลักสูตร นายร้อยตำรวจอบรม รุ่นที่ 16 (นรอ.16) เริ่มรับราชการเมื่อปี พ.ศ. 2514 ตำแหน่งสำรองพิเศษ สังกัด กก.2ส. ต่อมาได้เป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตร ในปี พ.ศ. 2517 ในตำแหน่งรองสารวัตรแผนก 1 กก.สส.นครบาลเหนือ และได้ดำรงตำแหน่งวนเวียนอยู่เฉพาะในเขตนครบาลเกือบ 10 ปี โดยเป็นสารวัตรสอบสวน สน.จักรวรรดิ สน.ปทุมวัน และสน.ทุ่งมหาเมฆ จนถึงปี พ.ศ. 2523 ได้เป็น สารวัตรปราบปราม สน.นางเลิ้ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2526 จึงได้ออกต่างจังหวัดระยะสั้น ๆ โดยดำรงตำแหน่งสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง จ.ภูเก็ต ไม่ถึง 1 ปีก็กลับเข้านครบาลอีกครั้ง โดยได้ดำรงตำแหน่ง รอง ผกก. 2 ป. ตามด้วย ผกก.(กอ.รมน.)กำลังพล และ ผู้กำกับการตำรวจท่องเที่ยว ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการกองปราบปราม และรองผู้บัญชาการกองปราบปราม ก่อนจะดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และได้เป็น ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ปส.) เมื่อปี พ.ศ. 2543
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ มีผลงานโดดเด่นด้านการปราบปรามยาเสพติดตามนโยบายทำสงครามกับยาเสพติดในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเติบโตก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ราชการอย่างมาก โดยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทั้งที่เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีอาวุโสเป็นอันดับ 5 ก้าวข้ามอาวุโสผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนอื่น ๆ ที่มีอาวุโสสูงกว่าในขณะนั้น 4 คน คือ พล.ต.ท.บุญเพ็ญ บำเพ็ญบุญ, พล.ต.ท.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส, พล.ต.ท.สุเทพ ธรรมรักษ์ และ พล.ต.ท.ณพัฒน์ ศรีหิรัญ และต่อมาได้ครองยศ พล.ต.อ. ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ซึ่งทำให้ได้รับการวิจารณ์ว่าเป็นเพราะความเป็นเครือญาติกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นายกรัฐมนตรี
ต่อมาหลังการ รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถูกโยกย้ายไปเป็น ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ด้านความมั่นคง ในสังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ต่อมาหลังจากพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551 พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ได้กลับมาดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอีกครั้ง ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2551 จนถึงปัจจุบัน
แม้จะเพิ่งกลับมาดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2551 แต่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถือเป็น รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีอาวุโสสูงสุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีคำสั่งศาลปกครองให้นับอาวุโสของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ต่อเนื่องตั้งแต่ได้ดำรงตำแหน่งครั้งแรก ทำให้เป็นผู้หนึ่งที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต่อจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่จะเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ. 2552
ซึ่งเมื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ปรึกษา สบ.10 ดำรงตำแหน่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อขอความเป็นธรรม โดยยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เนื่องจากอ้างว่าตนเป็นรอง ผบ.ตร.ที่อาวุโสสูงสุด จึงควรจะได้รับตำแหน่งนี้มากกว่า
....................
ใครกันแน่ที่คู่ควรกับตำแหน่ง ผบ.ตร. มากที่สุด!!
วิเชียร” เปิดใจตาแดงก่ำ ยอมลุกจากตำแหน่งผบ.ตร
"วิเชียร” เปิดใจตาแดงก่ำ ยอมลุกจากตำแหน่งผบ.ตร
ยืนยันไม่ได้ทำอะไรผิด เชื่อมีขบวนการเลื่อยเก้าอี้ วางแผนทำลายองค์กร บีบให้ออกจากตำแหน่ง วอนให้หยุดการกระทำ เผยยอมเพื่อส่วนรวม ศักดิ์ศรี ชี้ตำแหน่งใหม่ต้องทัดเทียมสมเหตุผล โดยฝากผู้มีอำนาจต้องใช้อำนาจอย่างเป็นธรรม ชณะที่มีข่าวสะพัด "เพรียวพันธ์" จ่อนั่งเก้าอี้แทน
“ผมคิดว่าท่านที่เป็นรอง ผบ.ตร.อยู่ก็เหมาะสมที่จะมาเป็น เมื่อคิดว่าผมไม่เหมาะสม และมีหน้าที่อื่นเหมาะสมก็ไปได้ แต่ว่าควรมีเหตุมีผล แต่การใช้วิธีทำลายองค์กรให้เสียหายอย่างนี้ เรียนว่าขอให้หยุดการกระทำ” ผบ.ตร. กล่าว
ช่วงเช้าวันนี้ (31 ส.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธาน เปิดการประชุมเป้าหมายนักค้ายาเสพติดรายสำคัญและนักค้ายาเสพติดข้ามชาติ ระหว่างกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดและหน่วยปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย โดยมีตำรวจ บช.ปส. และเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯเข้าฟัง 95 คน ซึ่งตามกำหนดการ งานนี้จะต้องมี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร.ด้านกิจการพิเศษ ซึ่งรับผิดชอบกำกับดูแล บช.ปส. และเป็นคนที่กำลังถูกจับตาว่าจะขึ้นเป็น ผบ.ตร.คนต่อไป แต่ก็ไม่ได้มาร่วมงานแต่อย่างใด
ท่ามกลางกระแสข่าวว่า หลังจากมีความพยายามต่อรองอยู่นาน ท้ายที่สุดเมื่อคืนที่ผ่านมา พล.ต.อ.วิเชียร ก็ตัดสินใจรับข้อเสนอ ยอมออกจากตำแหน่งผบ.ตร.โดยอาจไปรับตำแหน่งใหม่เป็นปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แทนนายสมบัติ คุรพันธ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่จะเกษียณอายุราชการในปลายเดือนก.ย.นี้
ทั้งนี้ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวเปิดใจ กรณีนี้ด้วยสีหน้าเครียด และตาแดงก่ำ ว่า อย่างที่เรียนไปแล้ว การเข้ารับตำแหน่ง ผบ.ตร.นั้น เป็นการเสียสละ ไม่ใช่การเสวยสุข ต้องทำหน้าที่ตรากตรำ เหน็ดเหนื่อย สละเวลา เสี่ยงภัย เพราะต้องคอยจัดการปกป้องคนดี ขณะเดียวกันก็กำจัดคนชั่ว อาจต้องมีการกระทบกระทั่ง มีการฟ้องร้องต่างๆ เรียกว่าการเสียสละ เพื่อมารับหน้าที่ เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นว่าไม่เหมาะสม อยากเปลี่ยนแปลง ก็ยินดีที่จะไป แต่ต้องไปอย่างถูกต้องสมเหตุสมผล เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีพอสมควร เพราะว่าเราไม่ได้กระทำผิด เราเสียสละมาทำหน้าที่ด้วยซ้ำไป
“เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีอำนาจ ก็ต้องใช้อำนาจด้วยความเป็นธรรม ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขต่อส่วนรวม การกระทำที่ผ่านมา ใครที่ผิด ผมก็ว่าไปตามผิด สอบสวนไป ไม่ใช่ไปเหมารวม ผมคิดว่ามันเป็นการทำลายองค์กร โดยเฉพาะองค์กรที่เป็นสถาบันหลัก ต้นธารผดุงความยุติธรรม ที่ช่วยกันสร้างสมกันมาเป็น 100 ปี ต้องช่วยกันถนอมรักษากันไว้ เพื่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชน หากไปทำลายแล้ว จะทำให้ความเชื่อถือศรัทธาไม่มี เกิดความสับสนวุ่นวาย ไม่เป็นที่ยอมรับ นำมาสู่ความไม่สงบ ก็อยากฝากถึงผู้มีอำนาจ ให้คำนึงถึงเรื่องการใช้คุณธรรม หากท่านใช้อำนาจอย่างมีคุณธรรมก็จะอยู่ในหน้าที่อย่างยั่งยืน แต่ว่าถ้าท่านไม่มีคุณธรรม ก็ได้เท่านั้นแหละ ฉะนั้น หากท่านเห็นว่าผมไม่เหมาะสม ผมก็ยินดีไปในตำแหน่งที่เหมาะสม”ผบ.ตร.กล่าว
เมื่อถามว่า ยินดีรับตำแหน่งปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ต้องดูความเหมาะสมเสียก่อน ยังตอบไม่ได้ตอนนี้ ยังไม่ทราบ ขอพิจารณาก่อน ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองขอความเป็นธรรม ขอพูดแค่หลักการแค่นี้ก่อน
เมื่อถามว่า คิดว่าการใช้อำนาจโยกย้ายตนเองครั้งนี้ เป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าการสร้างเรื่อง สร้างราว เหมารวมทำให้ตำรวจที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ทำหน้าที่อย่างเสี่ยงภัย ตรากตรำ มาเหมารวมแบบนี้มันเสียหาย
เมื่อถามว่า คิดว่ามีการสร้างเรื่องมาเพื่อเลื่อยขาเก้าอี้ ผบ.ตร.กล่าวว่า ข่าวที่ออกมามันเป็นลักษณะอย่างนั้น ตำรวจมีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย เป็นต้นธารกระบวนการยุติธรรม ต้องสร้างความเชื่อถือศรัทธา
“ต้องเรียกว่าในช่วง ปี 2 ปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าได้ทำหน้าที่กอบกู้ความเชื่อถือศรัทธาของพี่น้องประชาชน ได้รับระดับหนึ่ง เรื่องตำแหน่งใหม่ อย่าเพิ่งพูดถึงเลย ต้องรอดูว่าท่านจะให้ไปดำรงตำแหน่งใด ซึ่งหากเสนอมาแล้วเหมาะสมก็จะสมัครใจไป”ผบ.ตร. กล่าว
เมื่อถามว่า จุดที่ทำให้ตัดสินใจยอมลุกจากเก้าอี้ ผบ.ตร.คืออะไร พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า เพื่อประเทศชาติ ประชาชน และพระมหากษัตริย์ อย่างที่บอกไปแล้ว ตนเชื่อว่าทำหน้าด้วยดีมาตลอด
ถามว่า เชื่อว่ามีขบวนการ วางงาน เพื่อเลื่อยขาเก้าอี้ของตนเอง หรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า ก็แล้วแต่
“ผมคิดว่าท่านที่เป็นรอง ผบ.ตร.อยู่ก็เหมาะสมที่จะมาเป็น เมื่อคิดว่าผมไม่เหมาะสม และมีหน้าที่อื่นเหมาะสมก็ไปได้ แต่ว่าควรมีเหตุมีผล แต่การใช้วิธีทำลายองค์กรให้เสียหาย อย่างนี้ เรียนว่าขอให้หยุดการกระทำ”
เมื่อถามว่า ท่านรู้สึกว่ามีความพยายาม ทำให้องค์กรบอบช้ำ เพื่อบีบให้ออกจากตำแหน่ง ใช่หรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ถูกต้อง
“ตอนนี้รู้สึกอย่างไรก็อย่างที่พูดไป การตัดสินใจอย่างไรออกไปก็เพื่อประโยชน์ส่วนรวม บนพื้นฐานของศักดิ์ศรี ที่ออกมาพูดเพื่อให้ตำรวจทั่วประเทศทำงานไปอย่างปกติ ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ใครจะมาเป็นผู้บังคับบัญชาให้อยู่บนพื้นฐานคุณธรรม” ผบ.ตร.กล่าว
ขณะที่ความคืบหน้าในการสืบสวนข้อเท็จจริงเรื่องบ่อนการพนัน ย่านรัชดา พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ก็มีการสอบสวนไป หากพบว่าบกพร่องก็ต้องทำไปตามระเบียบ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง จเรตำรวจแห่งชาติ เสนอมาอย่างไรก็ต้องว่าไปอย่างนั้น การสืบสวนสอบสวนของจเรฯก็ยังไม่เสร็จสิ้นเสียทีเดียว จะมีการสืบสวนสอบสวนขยายผลต่อไปอีก ว่าเมื่อมีการปล่อยปละละเลยแล้ว ยังเป็นประเภทที่ไปรับสินบนหรือเรียกรับผลประโยชน์นั้นมีหรือไม่ ถ้ามี ก็ต้องว่าไปตามบทลงโทษ
เมื่อถามว่า คิดว่าเรื่องนี้จะเงียบไปเมื่อมีการเปลี่ยน ผบ.ตร. เป็นการจบง่ายๆหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า มีระเบียบกฎเกณฑ์ก็ต้องว่าไปตามกฎหมายก็ต้อง การลงโทษนั้นให้ทางกองวินัยพิจารณาร่วมด้วยว่า มีเกณฑ์มีมาตรฐานอย่างไร เข้าข่ายหรือไม่ ในเบื้องต้นก็เห็นคล้อยตามที่จเรตำรวจแห่งชาติตำรวจเสนอ คืออยู่ในขั้นปล่อยปะละเลย เราก็จำเป็นต้องลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ก็ต้องดูในรายละเอียดต่อในชั้นนี้ก็ยังไม่ถึงขั้นขั้นร้ายแรง พยานหลักฐานยังไม่ถึงชัดเจนว่า เรียกรับผลประโยชน์ ถ้าเรียกรับผลประโยชน์ก็เป็นไปอีกขั้นหนึ่ง
ยืนยันไม่ได้ทำอะไรผิด เชื่อมีขบวนการเลื่อยเก้าอี้ วางแผนทำลายองค์กร บีบให้ออกจากตำแหน่ง วอนให้หยุดการกระทำ เผยยอมเพื่อส่วนรวม ศักดิ์ศรี ชี้ตำแหน่งใหม่ต้องทัดเทียมสมเหตุผล โดยฝากผู้มีอำนาจต้องใช้อำนาจอย่างเป็นธรรม ชณะที่มีข่าวสะพัด "เพรียวพันธ์" จ่อนั่งเก้าอี้แทน
“ผมคิดว่าท่านที่เป็นรอง ผบ.ตร.อยู่ก็เหมาะสมที่จะมาเป็น เมื่อคิดว่าผมไม่เหมาะสม และมีหน้าที่อื่นเหมาะสมก็ไปได้ แต่ว่าควรมีเหตุมีผล แต่การใช้วิธีทำลายองค์กรให้เสียหายอย่างนี้ เรียนว่าขอให้หยุดการกระทำ” ผบ.ตร. กล่าว
ช่วงเช้าวันนี้ (31 ส.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธาน เปิดการประชุมเป้าหมายนักค้ายาเสพติดรายสำคัญและนักค้ายาเสพติดข้ามชาติ ระหว่างกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดและหน่วยปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย โดยมีตำรวจ บช.ปส. และเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯเข้าฟัง 95 คน ซึ่งตามกำหนดการ งานนี้จะต้องมี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร.ด้านกิจการพิเศษ ซึ่งรับผิดชอบกำกับดูแล บช.ปส. และเป็นคนที่กำลังถูกจับตาว่าจะขึ้นเป็น ผบ.ตร.คนต่อไป แต่ก็ไม่ได้มาร่วมงานแต่อย่างใด
ท่ามกลางกระแสข่าวว่า หลังจากมีความพยายามต่อรองอยู่นาน ท้ายที่สุดเมื่อคืนที่ผ่านมา พล.ต.อ.วิเชียร ก็ตัดสินใจรับข้อเสนอ ยอมออกจากตำแหน่งผบ.ตร.โดยอาจไปรับตำแหน่งใหม่เป็นปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แทนนายสมบัติ คุรพันธ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่จะเกษียณอายุราชการในปลายเดือนก.ย.นี้
ทั้งนี้ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวเปิดใจ กรณีนี้ด้วยสีหน้าเครียด และตาแดงก่ำ ว่า อย่างที่เรียนไปแล้ว การเข้ารับตำแหน่ง ผบ.ตร.นั้น เป็นการเสียสละ ไม่ใช่การเสวยสุข ต้องทำหน้าที่ตรากตรำ เหน็ดเหนื่อย สละเวลา เสี่ยงภัย เพราะต้องคอยจัดการปกป้องคนดี ขณะเดียวกันก็กำจัดคนชั่ว อาจต้องมีการกระทบกระทั่ง มีการฟ้องร้องต่างๆ เรียกว่าการเสียสละ เพื่อมารับหน้าที่ เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นว่าไม่เหมาะสม อยากเปลี่ยนแปลง ก็ยินดีที่จะไป แต่ต้องไปอย่างถูกต้องสมเหตุสมผล เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีพอสมควร เพราะว่าเราไม่ได้กระทำผิด เราเสียสละมาทำหน้าที่ด้วยซ้ำไป
“เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีอำนาจ ก็ต้องใช้อำนาจด้วยความเป็นธรรม ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขต่อส่วนรวม การกระทำที่ผ่านมา ใครที่ผิด ผมก็ว่าไปตามผิด สอบสวนไป ไม่ใช่ไปเหมารวม ผมคิดว่ามันเป็นการทำลายองค์กร โดยเฉพาะองค์กรที่เป็นสถาบันหลัก ต้นธารผดุงความยุติธรรม ที่ช่วยกันสร้างสมกันมาเป็น 100 ปี ต้องช่วยกันถนอมรักษากันไว้ เพื่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชน หากไปทำลายแล้ว จะทำให้ความเชื่อถือศรัทธาไม่มี เกิดความสับสนวุ่นวาย ไม่เป็นที่ยอมรับ นำมาสู่ความไม่สงบ ก็อยากฝากถึงผู้มีอำนาจ ให้คำนึงถึงเรื่องการใช้คุณธรรม หากท่านใช้อำนาจอย่างมีคุณธรรมก็จะอยู่ในหน้าที่อย่างยั่งยืน แต่ว่าถ้าท่านไม่มีคุณธรรม ก็ได้เท่านั้นแหละ ฉะนั้น หากท่านเห็นว่าผมไม่เหมาะสม ผมก็ยินดีไปในตำแหน่งที่เหมาะสม”ผบ.ตร.กล่าว
เมื่อถามว่า ยินดีรับตำแหน่งปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ต้องดูความเหมาะสมเสียก่อน ยังตอบไม่ได้ตอนนี้ ยังไม่ทราบ ขอพิจารณาก่อน ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองขอความเป็นธรรม ขอพูดแค่หลักการแค่นี้ก่อน
เมื่อถามว่า คิดว่าการใช้อำนาจโยกย้ายตนเองครั้งนี้ เป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าการสร้างเรื่อง สร้างราว เหมารวมทำให้ตำรวจที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ทำหน้าที่อย่างเสี่ยงภัย ตรากตรำ มาเหมารวมแบบนี้มันเสียหาย
เมื่อถามว่า คิดว่ามีการสร้างเรื่องมาเพื่อเลื่อยขาเก้าอี้ ผบ.ตร.กล่าวว่า ข่าวที่ออกมามันเป็นลักษณะอย่างนั้น ตำรวจมีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย เป็นต้นธารกระบวนการยุติธรรม ต้องสร้างความเชื่อถือศรัทธา
“ต้องเรียกว่าในช่วง ปี 2 ปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าได้ทำหน้าที่กอบกู้ความเชื่อถือศรัทธาของพี่น้องประชาชน ได้รับระดับหนึ่ง เรื่องตำแหน่งใหม่ อย่าเพิ่งพูดถึงเลย ต้องรอดูว่าท่านจะให้ไปดำรงตำแหน่งใด ซึ่งหากเสนอมาแล้วเหมาะสมก็จะสมัครใจไป”ผบ.ตร. กล่าว
เมื่อถามว่า จุดที่ทำให้ตัดสินใจยอมลุกจากเก้าอี้ ผบ.ตร.คืออะไร พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า เพื่อประเทศชาติ ประชาชน และพระมหากษัตริย์ อย่างที่บอกไปแล้ว ตนเชื่อว่าทำหน้าด้วยดีมาตลอด
ถามว่า เชื่อว่ามีขบวนการ วางงาน เพื่อเลื่อยขาเก้าอี้ของตนเอง หรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า ก็แล้วแต่
“ผมคิดว่าท่านที่เป็นรอง ผบ.ตร.อยู่ก็เหมาะสมที่จะมาเป็น เมื่อคิดว่าผมไม่เหมาะสม และมีหน้าที่อื่นเหมาะสมก็ไปได้ แต่ว่าควรมีเหตุมีผล แต่การใช้วิธีทำลายองค์กรให้เสียหาย อย่างนี้ เรียนว่าขอให้หยุดการกระทำ”
เมื่อถามว่า ท่านรู้สึกว่ามีความพยายาม ทำให้องค์กรบอบช้ำ เพื่อบีบให้ออกจากตำแหน่ง ใช่หรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ถูกต้อง
“ตอนนี้รู้สึกอย่างไรก็อย่างที่พูดไป การตัดสินใจอย่างไรออกไปก็เพื่อประโยชน์ส่วนรวม บนพื้นฐานของศักดิ์ศรี ที่ออกมาพูดเพื่อให้ตำรวจทั่วประเทศทำงานไปอย่างปกติ ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ใครจะมาเป็นผู้บังคับบัญชาให้อยู่บนพื้นฐานคุณธรรม” ผบ.ตร.กล่าว
ขณะที่ความคืบหน้าในการสืบสวนข้อเท็จจริงเรื่องบ่อนการพนัน ย่านรัชดา พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ก็มีการสอบสวนไป หากพบว่าบกพร่องก็ต้องทำไปตามระเบียบ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง จเรตำรวจแห่งชาติ เสนอมาอย่างไรก็ต้องว่าไปอย่างนั้น การสืบสวนสอบสวนของจเรฯก็ยังไม่เสร็จสิ้นเสียทีเดียว จะมีการสืบสวนสอบสวนขยายผลต่อไปอีก ว่าเมื่อมีการปล่อยปละละเลยแล้ว ยังเป็นประเภทที่ไปรับสินบนหรือเรียกรับผลประโยชน์นั้นมีหรือไม่ ถ้ามี ก็ต้องว่าไปตามบทลงโทษ
เมื่อถามว่า คิดว่าเรื่องนี้จะเงียบไปเมื่อมีการเปลี่ยน ผบ.ตร. เป็นการจบง่ายๆหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า มีระเบียบกฎเกณฑ์ก็ต้องว่าไปตามกฎหมายก็ต้อง การลงโทษนั้นให้ทางกองวินัยพิจารณาร่วมด้วยว่า มีเกณฑ์มีมาตรฐานอย่างไร เข้าข่ายหรือไม่ ในเบื้องต้นก็เห็นคล้อยตามที่จเรตำรวจแห่งชาติตำรวจเสนอ คืออยู่ในขั้นปล่อยปะละเลย เราก็จำเป็นต้องลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ก็ต้องดูในรายละเอียดต่อในชั้นนี้ก็ยังไม่ถึงขั้นขั้นร้ายแรง พยานหลักฐานยังไม่ถึงชัดเจนว่า เรียกรับผลประโยชน์ ถ้าเรียกรับผลประโยชน์ก็เป็นไปอีกขั้นหนึ่ง
สถิติใหม่ !!! 10 ที่ซู้ด - ที่สุด ..... เดอะ - ยิ่งลักษณ์
สถิติใหม่ !!! 10 ที่ซู้ด - ที่สุด ..... เดอะ - ยิ่งลักษณ์
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นับเป็น นายกรัฐมนตรี ที่สร้างปรากฏการณ์ที่สำคัญ ให้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ มากที่สุดคนหนึ่ง ของประเทศไทย
หลายเรื่องเป็นสถิติ "ที่สุด" ในเวลานี้เสียด้วย เท่าที่ลองสำรวจตรวจตรา พบว่า สถิติที่น่าสนใจ มีดังต่อไปนี้
1. เส้นทางการเมืองสั้นที่สุด
ยิ่งลักษณ์ ไม่เคยมีชื่อ ในตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ มาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งในท้องถิ่นอย่าง อบต. อบจ. หรือตำแหน่งระดับชาติอย่าง ส.ส., ส.ว. ผู้ช่วยรัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี ฯลฯ
จู่ ๆ ทักษิณ ชินวัตร ก็ประกาศโครมว่า คนที่จะมาเป็น ว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย จะไม่ใช่หัวหน้าพรรค แต่จะเป็นผู้สมัคร ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1
ซึ่งต่อมา คนไทยทั่วประเทศ ก็ได้รู้อย่างเป็นทางการพร้อม ๆ กันว่า คือ ยิ่งลักษณ์ น้องสาว ทักษิณ นั่นเอง
2.ได้ฉายาเร็วที่สุด
ทันทีที่ชัดเจนว่า ยิ่งลักษณ์ คือ ว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย
เธอก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทันทีว่าเป็นแค่ "หุ่นเชิด" ของพี่ชาย
โดยเรียกกันสั้น ๆ ว่า "หุ่นปู"
แต่ทักษิณ รีบออกมาช่วยแก้เกี้ยวว่า ไม่ใช่หุ่น แต่เป็น "โคลนนิ่ง"
"ผมบอกเลยว่า ไม่ใช่-นอมินี แต่เรียกได้เลยว่าเป็น โคลนนิ่ง-ของทักษิณเลย
ผมโคลนนิ่งการบริหารให้ ตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ สไตล์การทำงานเหมือนผม รับการบริหารจากผมได้ดีที่สุด
อีกข้อสำคัญหนึ่ง ก็คือการที่ ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นน้องสาวผมมานั่งเก้าสำคัญในพรรค สถานะนั้นสามารถตัดสินใจแทนผมได้เลย เยส ออ โน นี่พูดแทนผมได้เลย"
ยิ่งลักษณ์ ก็เติมความดูดีให้ตัวเองยิ่งขึ้น ด้วยถ้อยคำสั้นๆ ว่า
"โคลนนิ่ง คือ การเข้าใจและรับหลักคิดการบริหารธุรกิจจาก ทักษิณ แต่การตัดสินใจนั้น จะตัดสินใจเอง"
ทว่า จนถึงบัดนี้ ใครได้เห็น "การตัดสินใจเอง" ของเธอบ้าง
3.หาเสียงง่ายที่สุด
ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้สมัครรับการเลือกตั้งที่ เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี แต่ไม่ต้องขึ้นเวทีประชันวิสัยทัศน์กับใคร
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ขุนพลคู่ใจ ที่ปราศรัยหาเสียงแทนเป็นชั่วโมง ๆ ในทุกเวที กล่าวกับสื่อมวลชนว่า
"เราไม่ต้องดีเบต เพราะเราดีแล้ว"
แหม..เก๋ไก๋ซะไม่มี !
แม้ในเวทีประชันวิสัยทัศน์เล็ก ๆ ของมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย ก็ได้ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ไปกล่าวแทน
ส่วนการตอบคำถามสื่อมวลชนในช่วงหาเสียง หรือ การจะได้เป็นข่าวหน้า 1 ในช่วงหาเสียง ก็มีผู้ประสานอำนวยความสะดวกให้อย่างชัดเจน
ดังปรากฏในจดหมายอิเลคทรอนิกส์ หรืออีเมล์ ที่อ้างว่าเป็นของรองโฆษกพรรคเพื่อไทย คือ วิม รุ่งวัฒนะจินดา
ที่ระบุกลยุทธ์ในการช่วยยิ่งลักษณ์หาเสียงว่า
"สำหรับหน้าที่ ที่ผม และ น้องสุธิศา รับผิดชอบช่วยคุณปูอยู่ในขณะนี้
1.แจ้งประเด็นให้คุณปู ทราบทุกวันว่า วันนี้มีประเด็นอะไร
ประเด็นไหนที่แรง ให้โยนไปให้ทีม คุณนิวัติธำรงค์ ช่วยแนะนำ
2.เช็กประเด็นจากสื่อมวลชน ว่าจะถามอะไรคุณปู เพื่อให้คุณปูเตรียมตัวให้พร้อมที่จะพูด
3.สร้างประเด็น หรือภาพกิจกรรม ในพื่นที่หาเสียง เพื่อให้ได้ภาพหน้า 1 ทุกวัน
4.ประสานหัวหน้าข่าว และโต๊ะข่าวการเมือง ว่าต้องการภาพแบบไหน เพื่อส่งให้ทุกวัน
5.ประสานสำนักข่าวต่างประเทศเพื่อให้ตามคุณปู ลงพื้นที่เพื่อให้ข่าวคุณปูออกไปทั่วโลก
6.ประสานสำนักข่าวในประเทศ เพื่อให้พรรค (คุณนิวัตธำรงค์) จัดบุคคลไปตอบคำถามในทีวี"
ซึ่งต่อมา สภาการหนังสือพิมพ์ ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นตรวจสอบอีเมล์นี้
สรุปผลว่า น่าเชื่อว่าวิมเป็นผู้เขียนอีเมล์เอง และมีการบริหารจัดการสื่อ อย่างเป็นระบบ
4.เป็นนายกฯ เร็วที่สุด
นับตั้งแต่เปิดตัว เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย
ยิ่งลักษณ์ ก็ก้าวพรวด ๆ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้
ตามสถิติที่ หนังสือพิมพ์ข่าวสด ออกหนังสือเล่ม-มาสรรเสริญเยินยอเธอ ก็นับเป็นเวลา-แค่ 49 วัน เท่านั้น
ยังไม่เคยมี อดีตนายกรัฐมนตรีคนไหน เคยทำได้มาก่อน
นั่นรวมไปถึง การได้เป็นนายก ฯ โดยไม่ต้องเป็น หัวหน้าพรรค มาก่อนด้วย
5.เป็นนายกฯ ที่สวยที่สุด
ก็แน่ละ เพราะ เธอเป็นสตรี คนแรกและคนเดียว ในขณะนี้ ที่ได้เป็น นายกรัฐมนตรี (อิอิ)
6.เป็นนายกฯ ทีมีพี่เลี้ยงมากที่สุด
ยิ่งลักษณ์ คือ "ทารกทางการเมือง" แต่กลับไม่เคยถูกด่าว่า "เป็นเด็ก"
จนบัดนี้ ยังไม่มีสื่อสอพลอใด ที่เคยติงเรื่องความเป็นเด็กของ อภิสิทธิ์ ลุกขึ้นมาติงเรื่องภาวะทารกของ ยิ่งลักษณ์
เมื่อครั้งที่ อภิสิทธิ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมี กรณ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ทักษิณ พูดตอนหนึ่งในการ "โฟนอิน" ไปยังงานสัมมนาของพรรคเพื่อไทย ที่เขาใหญ่ ว่า
"...ทั่วโลกมีปัญหา ความสามารถในการแก้ปัญหา โดยเด็กสองคนก็ลำบาก เด็กสองคนช่วยกันแก้ก็คงยาก มันไม่ง่ายอย่างที่คิด..."
ครั้นกลับลำมาเชิด น้องสาวของตัวเอง ซึ่งอายุน้อยกว่า อภิสิทธิ์ และ กรณ์ กลับไม่พูดเรื่อง "ความเป็นเด็ก" เลยสักนิด
นั่นรวมไปถึง แม่ยก กองเชียร์ และ สื่อกางเกงในแดง ทั้งหลาย
ที่เคยช่วยโหมประโคมประเด็น "ความเป็นเด็ก" และ "ความไม่มีประสบการณ์ในการบริหารบริษัทใหญ่ ๆ มาก่อน" ให้เป็นเรื่อง
ก็หุบปากนิ่งสนิท
โดย เฉพาะเมื่อ อภิสิทธิ์ แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ถึงสถานะของประเทศว่า
มีเงินคงคลังเพิ่มจาก 50,000 ล้านบาท เมื่อตอนเข้ารับตำแหน่ง เป็น 300,000 ล้านบาท มีอัตราการว่างงานต่ำเป็นประวัติการณ์
ซึ่งก่อนหน้านั้น คาดการณ์กันไว้ว่าจะเป็นปัญหาสำคัญที่สุด "...ฐานะของประเทศไทยในขณะนี้ มีเงินสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 180,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก และเพิ่มขึ้นถึง 70,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากการที่รัฐบาลชุดปัจจุบันได้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน โดยติดอันดับประเทศที่มีเงินสำรองสูงเป็นอันดับที่ 13 ของโลก ซึ่งหมายความว่าฐานะของประเทศไทยอยู่ในฐานะที่มีความเข้มแข็งอย่างยิ่ง
หนี้สาธารณะของประเทศเมื่อคิดเป็นสัดส่วนกับรายได้ประชาชาติก็ลดลงอย่างต่อ เนื่อง อยู่ที่ประมาณร้อยละ 40 หรือต่ำกว่า ซึ่งถือว่าเป็นอัตราส่วนที่ต่ำมากเมื่อเทียบเคียงกับประเทศต่างๆ ในโลก"
ความไม่ประสีประสา ในเรื่องไหนเลย ของ ยิ่งลักษณ์
จึงต้องถูกประกบโดย ทักษิณ ผู้พี่
นิวัติธำรง บุญทรงไพศาล ข้าเก่าเต่าเลี้ยงของ ทักษิณ
ที่คอยดูแล ภาพลักษณ์ การตอบคำถาม และประเด็นที่ควรพูด เมื่อปรากฏตัวต่อสาธารณะ
ยังไม่รวม "วอร์รูมลับ" ที่คอยโทรศัพท์กำกับบทให้เธอ ตลอดเวลาของการแถลงนโยบายที่ผ่านมาก
ที่หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ รายงานว่า นำโดย
นายจาตุรนต์ ฉายแสง, นายภูมิธรรม เวชชยชัย และ นายวราเทพ รัตนากร
7.กินอาหารพร้อมคณะทำงานแพงที่สุด
มีข้อมูลเปิดเผยกันว่อน ในอินเตอร์เนตว่า
ยิ่งลักษณ์ มีค่าใช้จ่าย เรื่องอาหารการกิน พร้อมด้วยทีมงาน รวมกันเป็นเงิน 211,850 บาทต่อวัน
โดยมี ต้มยำกุ้งมังกร เป็นอาหารเช้า และ อาหารจีน อาหารยุโรป อาหารไทย สลับสับเปลี่ยนกันไป
ว่ากันว่า อาหารพวกนี้ สมัยที่ อภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
เมนูเหล่านี้จะจัดไว้เฉพาะผู้นำ หรือแขกสำคัญ ๆ ของผู้นำเท่านั้น
ไม่ได้แจกจ่ายให้ "ที่ปรึกษาหรือคณะทำงาน" เพราะ ราคาต่อหัวเฉียดตกราว ๆ 4,237 บาท
อภิสิทธิ์ เองก็กินเมนูพวกนี้บ้าง แต่คณะที่ปรึกษาและคณะทำงาน ไม่ได้กินด้วย
ส่วนใหญ่ อภิสิทธิ์ จะลงมากินข้าวข้างล่าง ที่โรงอาหารด้านหลัง เมนูประจำคือ ข้าวไข่เจียวป้าน้อย
เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร ยังไม่ได้ยินจากปากของ ยิ่งลักษณ์ เลย
8.อ่านบทแถลงนโยบายนานที่สุด
อันที่จริงแล้ว นายกฯ รัฐมนตรีคนอื่น ๆ เขาอาจจะแถลงนโยบายยาวและนานกว่า ยิ่งลักษณ์ ก็ได้
แต่ท่านเหล่านั้น ใช้วิธี "พูดแถลง" ไม่ใช่ "อ่านแถลง" ตามบทที่แจกจ่ายให้สมาชิกทุกคนได้ดูล่วงหน้ามาแล้ว
ฉะนั้น เธอจึงได้ตำแหน่ง "อ่านแถลงนโยบาย" นานที่สุด คือ อ่าน 44 หน้า ในเวลา 2 ชั่วโมง 20 นาที
ซึ่งคงไม่ต้องพูดถึง คุณภาพของการอ่าน นะครับว่า ดีหรือเลว เพียงใด
9.กลับคำเร็วที่สุด
ยิ่งลักษณ์ ประกาศนโยบาย "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 ที่ราชมังคลากีฬาสถาน
แถลงนโยบาย 23 สิงหาคม ปีเดียวกัน ห่างกันเพียงเดือนเศษ ๆ
นโยบายที่ประกาศต่อชาวบ้านเอาไว้ว่า "จะทำ" ก็ถูกดัดแปลง เปลี่ยนไป-หลายข้อ ที่สำคัญที่สุด คือ
"ค่าแรงขั้นต่ำ" ทำทันที-ทั่วประเทศ 300 บาท ก็เปลี่ยนเป็นคำว่า "รายได้" และ ไม่อาจ-ทำได้ทันที ด้วย
"เงินเดือนเริ่มต้น" ของผู้จบปริญญาตรี 15,000 บาท ก็เปลี่ยนเป็นคำว่า "รายได้" เช่นเดียวกัน
ทั้งๆ ที่ให้ผลทางกฎหมายแรงงานและสวัสดิการ ต่างกันสิ้นเชิง
10.มีผู้ต้องหาและต้องคดีอยู่รอบตัวมากที่สุด
ขณะนี้ในประเทศไทย ยกเว้น ผู้คุม และ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์แล้ว
คงไม่มีใคร มีคนรอบตัว เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องคดี หรือ ผู้ถูกออกหมายจับจากทางการ มากกว่า ยิ่งลักษณ์ อีกแล้ว
เริ่มจากตัวเธอเอง ถูกกล่าวโทษเรื่อง การให้ข้อมูลเท็จต่อเจ้าพนักงาน เบิกความเท็จต่อศาล และ ปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นต่อตลาดหลักทรัพย์
มีรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล คือ
เผดิมชัย สะสมทรัพย์ เป็นบุคคลล้มละลาย
มีข้าราชการการเมือง ประจำสำนักเลขาธิการนายกฯ อาทิ
ไพจิตร อักษรณรงค์, ธนกฤต ชะเอมน้อย (วันชนะ เกิดดี) และรังษี เสรีชัย ซึ่งต่างถูกออกหมายจับตาม พรก. ฉุกเฉินฯ
พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 กรณีการบุกอาคารรัฐสภา และ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับในการชุมนุม พ.ศ.2553
มิต้องพูดถึง แกนนำเสื้อแดงอย่าง
จตุพร พรหมพันธุ์, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, น.พ.เหวง โตจิราการ, ชินวัฒน์ หาบุญพาด, อารีย์ ไกรนรา ฯลฯ
ก็หวังว่า ยิ่งลักษณ์ จะไม่สร้างสถิติ
"อยู่ในเก้าอี้-นายกรัฐมนตรี-สั้นที่สุด"
เป็นข้อที่ 11 อีกล่ะนะ !!!
by เชษฐ
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นับเป็น นายกรัฐมนตรี ที่สร้างปรากฏการณ์ที่สำคัญ ให้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ มากที่สุดคนหนึ่ง ของประเทศไทย
หลายเรื่องเป็นสถิติ "ที่สุด" ในเวลานี้เสียด้วย เท่าที่ลองสำรวจตรวจตรา พบว่า สถิติที่น่าสนใจ มีดังต่อไปนี้
1. เส้นทางการเมืองสั้นที่สุด
ยิ่งลักษณ์ ไม่เคยมีชื่อ ในตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ มาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งในท้องถิ่นอย่าง อบต. อบจ. หรือตำแหน่งระดับชาติอย่าง ส.ส., ส.ว. ผู้ช่วยรัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี ฯลฯ
จู่ ๆ ทักษิณ ชินวัตร ก็ประกาศโครมว่า คนที่จะมาเป็น ว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย จะไม่ใช่หัวหน้าพรรค แต่จะเป็นผู้สมัคร ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1
ซึ่งต่อมา คนไทยทั่วประเทศ ก็ได้รู้อย่างเป็นทางการพร้อม ๆ กันว่า คือ ยิ่งลักษณ์ น้องสาว ทักษิณ นั่นเอง
2.ได้ฉายาเร็วที่สุด
ทันทีที่ชัดเจนว่า ยิ่งลักษณ์ คือ ว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย
เธอก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทันทีว่าเป็นแค่ "หุ่นเชิด" ของพี่ชาย
โดยเรียกกันสั้น ๆ ว่า "หุ่นปู"
แต่ทักษิณ รีบออกมาช่วยแก้เกี้ยวว่า ไม่ใช่หุ่น แต่เป็น "โคลนนิ่ง"
"ผมบอกเลยว่า ไม่ใช่-นอมินี แต่เรียกได้เลยว่าเป็น โคลนนิ่ง-ของทักษิณเลย
ผมโคลนนิ่งการบริหารให้ ตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ สไตล์การทำงานเหมือนผม รับการบริหารจากผมได้ดีที่สุด
อีกข้อสำคัญหนึ่ง ก็คือการที่ ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นน้องสาวผมมานั่งเก้าสำคัญในพรรค สถานะนั้นสามารถตัดสินใจแทนผมได้เลย เยส ออ โน นี่พูดแทนผมได้เลย"
ยิ่งลักษณ์ ก็เติมความดูดีให้ตัวเองยิ่งขึ้น ด้วยถ้อยคำสั้นๆ ว่า
"โคลนนิ่ง คือ การเข้าใจและรับหลักคิดการบริหารธุรกิจจาก ทักษิณ แต่การตัดสินใจนั้น จะตัดสินใจเอง"
ทว่า จนถึงบัดนี้ ใครได้เห็น "การตัดสินใจเอง" ของเธอบ้าง
3.หาเสียงง่ายที่สุด
ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้สมัครรับการเลือกตั้งที่ เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี แต่ไม่ต้องขึ้นเวทีประชันวิสัยทัศน์กับใคร
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ขุนพลคู่ใจ ที่ปราศรัยหาเสียงแทนเป็นชั่วโมง ๆ ในทุกเวที กล่าวกับสื่อมวลชนว่า
"เราไม่ต้องดีเบต เพราะเราดีแล้ว"
แหม..เก๋ไก๋ซะไม่มี !
แม้ในเวทีประชันวิสัยทัศน์เล็ก ๆ ของมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย ก็ได้ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ไปกล่าวแทน
ส่วนการตอบคำถามสื่อมวลชนในช่วงหาเสียง หรือ การจะได้เป็นข่าวหน้า 1 ในช่วงหาเสียง ก็มีผู้ประสานอำนวยความสะดวกให้อย่างชัดเจน
ดังปรากฏในจดหมายอิเลคทรอนิกส์ หรืออีเมล์ ที่อ้างว่าเป็นของรองโฆษกพรรคเพื่อไทย คือ วิม รุ่งวัฒนะจินดา
ที่ระบุกลยุทธ์ในการช่วยยิ่งลักษณ์หาเสียงว่า
"สำหรับหน้าที่ ที่ผม และ น้องสุธิศา รับผิดชอบช่วยคุณปูอยู่ในขณะนี้
1.แจ้งประเด็นให้คุณปู ทราบทุกวันว่า วันนี้มีประเด็นอะไร
ประเด็นไหนที่แรง ให้โยนไปให้ทีม คุณนิวัติธำรงค์ ช่วยแนะนำ
2.เช็กประเด็นจากสื่อมวลชน ว่าจะถามอะไรคุณปู เพื่อให้คุณปูเตรียมตัวให้พร้อมที่จะพูด
3.สร้างประเด็น หรือภาพกิจกรรม ในพื่นที่หาเสียง เพื่อให้ได้ภาพหน้า 1 ทุกวัน
4.ประสานหัวหน้าข่าว และโต๊ะข่าวการเมือง ว่าต้องการภาพแบบไหน เพื่อส่งให้ทุกวัน
5.ประสานสำนักข่าวต่างประเทศเพื่อให้ตามคุณปู ลงพื้นที่เพื่อให้ข่าวคุณปูออกไปทั่วโลก
6.ประสานสำนักข่าวในประเทศ เพื่อให้พรรค (คุณนิวัตธำรงค์) จัดบุคคลไปตอบคำถามในทีวี"
ซึ่งต่อมา สภาการหนังสือพิมพ์ ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นตรวจสอบอีเมล์นี้
สรุปผลว่า น่าเชื่อว่าวิมเป็นผู้เขียนอีเมล์เอง และมีการบริหารจัดการสื่อ อย่างเป็นระบบ
4.เป็นนายกฯ เร็วที่สุด
นับตั้งแต่เปิดตัว เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย
ยิ่งลักษณ์ ก็ก้าวพรวด ๆ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้
ตามสถิติที่ หนังสือพิมพ์ข่าวสด ออกหนังสือเล่ม-มาสรรเสริญเยินยอเธอ ก็นับเป็นเวลา-แค่ 49 วัน เท่านั้น
ยังไม่เคยมี อดีตนายกรัฐมนตรีคนไหน เคยทำได้มาก่อน
นั่นรวมไปถึง การได้เป็นนายก ฯ โดยไม่ต้องเป็น หัวหน้าพรรค มาก่อนด้วย
5.เป็นนายกฯ ที่สวยที่สุด
ก็แน่ละ เพราะ เธอเป็นสตรี คนแรกและคนเดียว ในขณะนี้ ที่ได้เป็น นายกรัฐมนตรี (อิอิ)
6.เป็นนายกฯ ทีมีพี่เลี้ยงมากที่สุด
ยิ่งลักษณ์ คือ "ทารกทางการเมือง" แต่กลับไม่เคยถูกด่าว่า "เป็นเด็ก"
จนบัดนี้ ยังไม่มีสื่อสอพลอใด ที่เคยติงเรื่องความเป็นเด็กของ อภิสิทธิ์ ลุกขึ้นมาติงเรื่องภาวะทารกของ ยิ่งลักษณ์
เมื่อครั้งที่ อภิสิทธิ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมี กรณ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ทักษิณ พูดตอนหนึ่งในการ "โฟนอิน" ไปยังงานสัมมนาของพรรคเพื่อไทย ที่เขาใหญ่ ว่า
"...ทั่วโลกมีปัญหา ความสามารถในการแก้ปัญหา โดยเด็กสองคนก็ลำบาก เด็กสองคนช่วยกันแก้ก็คงยาก มันไม่ง่ายอย่างที่คิด..."
ครั้นกลับลำมาเชิด น้องสาวของตัวเอง ซึ่งอายุน้อยกว่า อภิสิทธิ์ และ กรณ์ กลับไม่พูดเรื่อง "ความเป็นเด็ก" เลยสักนิด
นั่นรวมไปถึง แม่ยก กองเชียร์ และ สื่อกางเกงในแดง ทั้งหลาย
ที่เคยช่วยโหมประโคมประเด็น "ความเป็นเด็ก" และ "ความไม่มีประสบการณ์ในการบริหารบริษัทใหญ่ ๆ มาก่อน" ให้เป็นเรื่อง
ก็หุบปากนิ่งสนิท
โดย เฉพาะเมื่อ อภิสิทธิ์ แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ถึงสถานะของประเทศว่า
มีเงินคงคลังเพิ่มจาก 50,000 ล้านบาท เมื่อตอนเข้ารับตำแหน่ง เป็น 300,000 ล้านบาท มีอัตราการว่างงานต่ำเป็นประวัติการณ์
ซึ่งก่อนหน้านั้น คาดการณ์กันไว้ว่าจะเป็นปัญหาสำคัญที่สุด "...ฐานะของประเทศไทยในขณะนี้ มีเงินสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 180,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก และเพิ่มขึ้นถึง 70,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากการที่รัฐบาลชุดปัจจุบันได้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน โดยติดอันดับประเทศที่มีเงินสำรองสูงเป็นอันดับที่ 13 ของโลก ซึ่งหมายความว่าฐานะของประเทศไทยอยู่ในฐานะที่มีความเข้มแข็งอย่างยิ่ง
หนี้สาธารณะของประเทศเมื่อคิดเป็นสัดส่วนกับรายได้ประชาชาติก็ลดลงอย่างต่อ เนื่อง อยู่ที่ประมาณร้อยละ 40 หรือต่ำกว่า ซึ่งถือว่าเป็นอัตราส่วนที่ต่ำมากเมื่อเทียบเคียงกับประเทศต่างๆ ในโลก"
ความไม่ประสีประสา ในเรื่องไหนเลย ของ ยิ่งลักษณ์
จึงต้องถูกประกบโดย ทักษิณ ผู้พี่
นิวัติธำรง บุญทรงไพศาล ข้าเก่าเต่าเลี้ยงของ ทักษิณ
ที่คอยดูแล ภาพลักษณ์ การตอบคำถาม และประเด็นที่ควรพูด เมื่อปรากฏตัวต่อสาธารณะ
ยังไม่รวม "วอร์รูมลับ" ที่คอยโทรศัพท์กำกับบทให้เธอ ตลอดเวลาของการแถลงนโยบายที่ผ่านมาก
ที่หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ รายงานว่า นำโดย
นายจาตุรนต์ ฉายแสง, นายภูมิธรรม เวชชยชัย และ นายวราเทพ รัตนากร
7.กินอาหารพร้อมคณะทำงานแพงที่สุด
มีข้อมูลเปิดเผยกันว่อน ในอินเตอร์เนตว่า
ยิ่งลักษณ์ มีค่าใช้จ่าย เรื่องอาหารการกิน พร้อมด้วยทีมงาน รวมกันเป็นเงิน 211,850 บาทต่อวัน
โดยมี ต้มยำกุ้งมังกร เป็นอาหารเช้า และ อาหารจีน อาหารยุโรป อาหารไทย สลับสับเปลี่ยนกันไป
ว่ากันว่า อาหารพวกนี้ สมัยที่ อภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
เมนูเหล่านี้จะจัดไว้เฉพาะผู้นำ หรือแขกสำคัญ ๆ ของผู้นำเท่านั้น
ไม่ได้แจกจ่ายให้ "ที่ปรึกษาหรือคณะทำงาน" เพราะ ราคาต่อหัวเฉียดตกราว ๆ 4,237 บาท
อภิสิทธิ์ เองก็กินเมนูพวกนี้บ้าง แต่คณะที่ปรึกษาและคณะทำงาน ไม่ได้กินด้วย
ส่วนใหญ่ อภิสิทธิ์ จะลงมากินข้าวข้างล่าง ที่โรงอาหารด้านหลัง เมนูประจำคือ ข้าวไข่เจียวป้าน้อย
เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร ยังไม่ได้ยินจากปากของ ยิ่งลักษณ์ เลย
8.อ่านบทแถลงนโยบายนานที่สุด
อันที่จริงแล้ว นายกฯ รัฐมนตรีคนอื่น ๆ เขาอาจจะแถลงนโยบายยาวและนานกว่า ยิ่งลักษณ์ ก็ได้
แต่ท่านเหล่านั้น ใช้วิธี "พูดแถลง" ไม่ใช่ "อ่านแถลง" ตามบทที่แจกจ่ายให้สมาชิกทุกคนได้ดูล่วงหน้ามาแล้ว
ฉะนั้น เธอจึงได้ตำแหน่ง "อ่านแถลงนโยบาย" นานที่สุด คือ อ่าน 44 หน้า ในเวลา 2 ชั่วโมง 20 นาที
ซึ่งคงไม่ต้องพูดถึง คุณภาพของการอ่าน นะครับว่า ดีหรือเลว เพียงใด
9.กลับคำเร็วที่สุด
ยิ่งลักษณ์ ประกาศนโยบาย "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 ที่ราชมังคลากีฬาสถาน
แถลงนโยบาย 23 สิงหาคม ปีเดียวกัน ห่างกันเพียงเดือนเศษ ๆ
นโยบายที่ประกาศต่อชาวบ้านเอาไว้ว่า "จะทำ" ก็ถูกดัดแปลง เปลี่ยนไป-หลายข้อ ที่สำคัญที่สุด คือ
"ค่าแรงขั้นต่ำ" ทำทันที-ทั่วประเทศ 300 บาท ก็เปลี่ยนเป็นคำว่า "รายได้" และ ไม่อาจ-ทำได้ทันที ด้วย
"เงินเดือนเริ่มต้น" ของผู้จบปริญญาตรี 15,000 บาท ก็เปลี่ยนเป็นคำว่า "รายได้" เช่นเดียวกัน
ทั้งๆ ที่ให้ผลทางกฎหมายแรงงานและสวัสดิการ ต่างกันสิ้นเชิง
10.มีผู้ต้องหาและต้องคดีอยู่รอบตัวมากที่สุด
ขณะนี้ในประเทศไทย ยกเว้น ผู้คุม และ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์แล้ว
คงไม่มีใคร มีคนรอบตัว เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องคดี หรือ ผู้ถูกออกหมายจับจากทางการ มากกว่า ยิ่งลักษณ์ อีกแล้ว
เริ่มจากตัวเธอเอง ถูกกล่าวโทษเรื่อง การให้ข้อมูลเท็จต่อเจ้าพนักงาน เบิกความเท็จต่อศาล และ ปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นต่อตลาดหลักทรัพย์
มีรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล คือ
เผดิมชัย สะสมทรัพย์ เป็นบุคคลล้มละลาย
มีข้าราชการการเมือง ประจำสำนักเลขาธิการนายกฯ อาทิ
ไพจิตร อักษรณรงค์, ธนกฤต ชะเอมน้อย (วันชนะ เกิดดี) และรังษี เสรีชัย ซึ่งต่างถูกออกหมายจับตาม พรก. ฉุกเฉินฯ
พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 กรณีการบุกอาคารรัฐสภา และ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับในการชุมนุม พ.ศ.2553
มิต้องพูดถึง แกนนำเสื้อแดงอย่าง
จตุพร พรหมพันธุ์, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, น.พ.เหวง โตจิราการ, ชินวัฒน์ หาบุญพาด, อารีย์ ไกรนรา ฯลฯ
ก็หวังว่า ยิ่งลักษณ์ จะไม่สร้างสถิติ
"อยู่ในเก้าอี้-นายกรัฐมนตรี-สั้นที่สุด"
เป็นข้อที่ 11 อีกล่ะนะ !!!
by เชษฐ
ปิด 3 ทฤษฎีแดง...แผนปฏิบัติการพลัดถิ่นล้มเทวดา!
ปิด 3 ทฤษฎีแดง...แผนปฏิบัติการพลัดถิ่นล้มเทวดา!
ชาดพิชัยสงคราม ทฤษฎีการต่อสู้ล่าสุดของคนเสื้อแดง ที่กำลังเผยแพร่บนโลกอินเตอร์ในเครือข่ายคนเสื้อแดงอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ผู้เขียนได้ระบุถึงเป้าหมายการต่อสู้ไปจนถึงเทวดา และการนำอาวุธมาใช้ เช่นเดียวกันกับวิทยานิพนธ์คนเสื้อแดง และคู่มือการต่อสู้ของขบวนการล้มเจ้าที่ชื่อสงครามอภิมหาอมตะยุทธ์ระหว่าง เทวดากับไพร่สาระขัณฑ์ ไพร่สู้นายสงครามชนชั้น ที่ได้มีการเผยแพร่ไปก่อนหน้านี้
เนื้อหาการต่อสู้ ระบุในชื่อ ชาดพิชัยสงคราม โดย รุ่งศิลา ซึ่งเป็นแนวทางการต่อสู้กับเผด็จการเทวดา ด้วย อาวุธและปริมาณมวลชน
การจัดตั้ง แบ่งเป็น 4 ส่วน
1. องค์กรนำกลางฝ่ายมวลชนเสื้อแดง ที่เป็นเอกภาพได้รับการยอมรับ
2. มวลชนเสื้อแดงต่อต้านเผด็จการ
3. รัฐบาลพลัดถิ่น
4. กองกำลังติดอาวุธ
หลักนิยมปฏิบัติขององค์กรนำกลางฝ่ายมวลชนเสื้อแดง ทำหน้าที่ ชี้นำมวลชนเสื้อแดงต่อต้านเผด็จการโดยมีรัฐบาลพลัดถิ่นทำหน้าที่บังคับบัญชา กองกำลังติดอาวุธ
ถึงบรรทัดนี้ต้องบอกว่าไม่ธรรมดากันเลยทีเดียวสำหรับทฤษฎีการต่อสู้ ที่มีการพูดถึงทั้งกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งจะถูกบังคับบัญชาโดยกองกำลังพลัดถิ่น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่มีการพูดถึงการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในหมู่คนเสื้อแดง ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปลายปี 2553 นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำนปช.สายฮาร์อคอ ได้วีดีโอลิงค์และเขียนบทความมาถึงคนเสื้อแดง ว่าจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น เพื่อสู้รบกับ “อำมาตย์”และก็ได้รับการขานรับทั้งจากนายจักรภพ เพ็ญแข นายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง และแกนนำคนเสื้อแดงอีกหลายส่วน
ซึ่งก็น่าสนใจว่าเป็นนายอริสมันต์คนเดียวกันนี้ที่พูดถึงคำว่ารัฐบาลพลัด ถิ่นกับกองกำลังติดอาวุธ ตรงตามทฤษฎีการต่อสู้ของชาดพิชัยสงคราม แบบไม่มีผิดเพี้ยน
แนวคิดเรื่องรัฐบาลพลัดถิ่น จะใช่การจัดตั้งสมาพันธ์ประชาชนสร้างประชาธิปไตยหรือสปสป. หรือไม่ ซึ่งเป็นข้อมูลของหน่วยการจัดตั้งที่เพิ่งหลุดออกมาจากปากนายเทพพนม นามลี ประธาน นปช.สุรินทร์ หลังการพบปะกับนายอริสมันต์ ที่กัมพูชาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2554
สมาพันธ์ประชาชนสร้างประชาธิปไตยหรือสปสป. ก่อตั้งแล้ว ที่นครวัด จังหวัดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา โดยมี นายอริสมันต์ เป็นประธานรักษาการ และตนเป็นเลขาธิการรักษาการ ส่วนนปช.แต่ละจังหวัดร่วมเป็นโครงสร้างหลักของสมาพันธ์ฯ
และเร็วๆนี้จะมีการประสานเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นประธานสมพันธ์ประชาชนสร้างประชาธิปไตย
ด้วยความสอดคล้องที่ว่ามานี้ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือแกนนำนปช.ส่วนกลาง จะรู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธพฤติกรรมของแกนนำอย่างนายอริสมันต์ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ใกล้ชิดและมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างกันอยู่เป็นระยะๆ
ยิ่งไปกว่านั้นหากย้อนกลับไปพิจารณาข้อมูลในหน้าหนังสือวิทยานิพนธ์คนเสื้อ แดง และคู่มือการต่อสู้ของขบวนการล้มเจ้าที่ชื่อสงครามอภิมหาอมตะยุทธ์ระหว่าง เทวดากับไพร่สาระขันฑ์ก็ยิ่งชัดเจนว่า แนวความคิดเรื่องการใช้ความรุนแรง และการกระทบกระทั่งต่อสถาบันนั้น ได้มีการดำเนินการในหมู่คนเสื้อแดงมาอย่างต่อเนื่อง
วิทยานิพนธ์คนเสื้อแดงระบุถึงยุทธศาสตร์การต่อสู้เอาไว้ 5 แนวทางด้วยกัน คือ พรรค มวลชน สื่อ การต่างประเทศ และโดยเฉพาะกองกำลังฝ่ายประชาชน ซึ่งถูกระบุให้เป็นแนวทางที่สำคัญที่สุดว่ากองกำลังฝ่ายประชาชน เพื่อปกป้องคุ้มครองมวลชนไม่ให้ถูกปราบปราม และเมื่อกองกำลังเข้มแข็งมากขึ้น มีคนเข้าร่วมมากขึ้น ก็จะกลายสภาพเป็น “กองทัพประชาชน”
“เราไม่ได้เรียกร้องว่าคนเสื้อแดง ทุกคนจะสู้ด้วยวิธีนี้ ใครทำอะไรได้ก็ทำ สู้แนวไหนได้ก็สู้ แต่ถ้าคนไหนพอจะเสียสละ พอจะพัฒนาฝีมือได้ ก็ควรจะทำและควรสนับสนุนคนที่ทำได้ การปฏิเสธแนวทางนี้ เป็นการปฏิเสธความจริงที่ต้องเผชิญ เราห้ามรัฐบาลทรราชฆ่าประชาชนไม่ได้ ถ้าเรายังเดินไปสู้อย่างใสซื่อ มือเปล่าอย่างเดียว เขามายิงเมื่อไหร่ ก็ตายเมื่อนั้น ก็แพ้เมื่อนั้น”
“เราจึงขอมี “เหล็กใน” ป้องกันตัวเองบ้าง ถ้ากองกำลังกำหนด“ยุทธศาสตร์” ได้ถูกสู้เพื่อ ความเสมอภาค เท่าเทียม สู้เพื่อให้มีอำนาจปกครองประเทศที่เป็นของประชาชน สู้เพื่อไม่ให้“ฆ่า” ประชาชน ก็จะเป็นปัจจัยให้กองกำลังฝ่ายประชาชนเข้มแข็ง มีคนเข้าร่วมเป็น“กองทัพประชาช
และเมื่อลงในรายละเอียดของหนังสือการต่อสู้ที่ชื่อสงครามอภิมหาอมตะยุทธ์ ระหว่างเทวดากับไพร่สาระขันฑ์ ก็จะเห็นภาพจากการลงรายละเอียดวิธีการต่อสู้ดังนี้
หัวข้อที่ 11 ว่าด้วยการจัดตั้งการ์ดของไพร่ในการจัดตั้งการ์ด หัวหน้าการ์ดจะต้องเลือกคนเข้ามาทำการประกอบหน่วย โดยยึดหลักว่า ต้องรู้นิสัยพื้นฐานของคน เช่นคนที่กล้าหาญที่จะต่อสู้ คนรอบคอบไม่ประมาทคอยป้องกัน หรือคนมีสติปัญหาจะให้คำที่ปรึกษา
หัวข้อที่ 12 ว่าด้วยขั้นตอนการต่อสู้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ขั้นที่ 1 ร้องขอ ไพร่จะสั่นกระดิ่งเรียกเทวดาให้ช่วยบรรเทาทุกข์ ขั้นที่ 2 เปิดโปง ไพร่จะชุมนุมด่าทอเทวดาแบบสันติวิธี ขั้นที่3 ต่อต้าน ไพร่จะขัดขืนหยุดงานหรือยึดถนนทำป้อมค่าย ขั้นที่ 4 โค่นล้ม ไพร่จะลุกขึ้นสู้ทำสงครามจรยุทธ์
หัวข้อที่ 15 ว่าด้วยสนามรบ และจากการเรียนการสอนโดยยึดเอาตำราเรียนเล่มนี้ ณ หมู่บ้านต่างๆ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกับประเทศสาระขัณฑ์ ก็พร้อมที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ ตามที่ผู้เขียนสรุปเอาไว้ว่า ไพร่ต้องร่วมกันต้าน แยกกันตี ไปทุกที่ที่มีอิทธิพลของเทวดา ก็เป็นการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน ที่คุ้นหูกันดีว่า แยกกันเดินร่วมกันตีนั่นเอง
หัวข้อที่ 17 ว่าด้วยกลศึกของไพร่สุดยอดขั้นตอนกลศึกของชนชั้นนำไพร่ก็คือ 1. โจมตีความศรัทธาในเทวดาก่อน เอาไดโนเสาร์ออกจากสมองไพร่ก่อน 2.โจมตีแผนลับข้าศึกให้แตก 3.โจมตีความสามัคคีข้าศึกให้แตก 4.สุดท้ายโจมตีร่างกายชีวิตได้โนเสาร์และตามรูปแบบการต่อสู้ใน
หัวข้อที่ 18 19 20 ที่ว่าด้วยการต่อสู้ใต้ดิน ว่าด้วยการต่อสู้โดย นักรบนินจา ที่ต้องแยกกันทำ ก่อนจะนำไปสู่บทสรุปของการได้รับชัยชนะเหนือไดโนเสาร์และเทวดา จนสามารถเข้าสู่ยุคใหม่ หลุดพ้นจากการเอารัดเอาเปรียบ พันธนาการทุกประการ
เห็นภาพอย่างชัดเจนว่าทฤษฎีของชาดพิชัยสงครามนั้น มีความสอดคล้องกับสถานการณ์จริงทั้งภาพและเสียงซึ่งเป็นหลักฐานที่ปรากฎอยู่ ในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ขณะที่การต่อสู้ที่จำกัดเป้าหมายเป็นเทวดานั้น จึงเป็นการตอกย้ำในข้อเท็จจริงที่ว่า การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงส่วนใหญ่นั้น กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงของการถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือในการโค่นล้มสถาบัน พระมหากษัตริย์ ซึ่งเชื่อว่าคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่ได้คิดเช่นนั้น
ชาดพิชัยสงคราม ทฤษฎีการต่อสู้ล่าสุดของคนเสื้อแดง ที่กำลังเผยแพร่บนโลกอินเตอร์ในเครือข่ายคนเสื้อแดงอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ผู้เขียนได้ระบุถึงเป้าหมายการต่อสู้ไปจนถึงเทวดา และการนำอาวุธมาใช้ เช่นเดียวกันกับวิทยานิพนธ์คนเสื้อแดง และคู่มือการต่อสู้ของขบวนการล้มเจ้าที่ชื่อสงครามอภิมหาอมตะยุทธ์ระหว่าง เทวดากับไพร่สาระขัณฑ์ ไพร่สู้นายสงครามชนชั้น ที่ได้มีการเผยแพร่ไปก่อนหน้านี้
เนื้อหาการต่อสู้ ระบุในชื่อ ชาดพิชัยสงคราม โดย รุ่งศิลา ซึ่งเป็นแนวทางการต่อสู้กับเผด็จการเทวดา ด้วย อาวุธและปริมาณมวลชน
การจัดตั้ง แบ่งเป็น 4 ส่วน
1. องค์กรนำกลางฝ่ายมวลชนเสื้อแดง ที่เป็นเอกภาพได้รับการยอมรับ
2. มวลชนเสื้อแดงต่อต้านเผด็จการ
3. รัฐบาลพลัดถิ่น
4. กองกำลังติดอาวุธ
หลักนิยมปฏิบัติขององค์กรนำกลางฝ่ายมวลชนเสื้อแดง ทำหน้าที่ ชี้นำมวลชนเสื้อแดงต่อต้านเผด็จการโดยมีรัฐบาลพลัดถิ่นทำหน้าที่บังคับบัญชา กองกำลังติดอาวุธ
ถึงบรรทัดนี้ต้องบอกว่าไม่ธรรมดากันเลยทีเดียวสำหรับทฤษฎีการต่อสู้ ที่มีการพูดถึงทั้งกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งจะถูกบังคับบัญชาโดยกองกำลังพลัดถิ่น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่มีการพูดถึงการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในหมู่คนเสื้อแดง ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปลายปี 2553 นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำนปช.สายฮาร์อคอ ได้วีดีโอลิงค์และเขียนบทความมาถึงคนเสื้อแดง ว่าจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น เพื่อสู้รบกับ “อำมาตย์”และก็ได้รับการขานรับทั้งจากนายจักรภพ เพ็ญแข นายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง และแกนนำคนเสื้อแดงอีกหลายส่วน
ซึ่งก็น่าสนใจว่าเป็นนายอริสมันต์คนเดียวกันนี้ที่พูดถึงคำว่ารัฐบาลพลัด ถิ่นกับกองกำลังติดอาวุธ ตรงตามทฤษฎีการต่อสู้ของชาดพิชัยสงคราม แบบไม่มีผิดเพี้ยน
แนวคิดเรื่องรัฐบาลพลัดถิ่น จะใช่การจัดตั้งสมาพันธ์ประชาชนสร้างประชาธิปไตยหรือสปสป. หรือไม่ ซึ่งเป็นข้อมูลของหน่วยการจัดตั้งที่เพิ่งหลุดออกมาจากปากนายเทพพนม นามลี ประธาน นปช.สุรินทร์ หลังการพบปะกับนายอริสมันต์ ที่กัมพูชาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2554
สมาพันธ์ประชาชนสร้างประชาธิปไตยหรือสปสป. ก่อตั้งแล้ว ที่นครวัด จังหวัดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา โดยมี นายอริสมันต์ เป็นประธานรักษาการ และตนเป็นเลขาธิการรักษาการ ส่วนนปช.แต่ละจังหวัดร่วมเป็นโครงสร้างหลักของสมาพันธ์ฯ
และเร็วๆนี้จะมีการประสานเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นประธานสมพันธ์ประชาชนสร้างประชาธิปไตย
ด้วยความสอดคล้องที่ว่ามานี้ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือแกนนำนปช.ส่วนกลาง จะรู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธพฤติกรรมของแกนนำอย่างนายอริสมันต์ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ใกล้ชิดและมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างกันอยู่เป็นระยะๆ
ยิ่งไปกว่านั้นหากย้อนกลับไปพิจารณาข้อมูลในหน้าหนังสือวิทยานิพนธ์คนเสื้อ แดง และคู่มือการต่อสู้ของขบวนการล้มเจ้าที่ชื่อสงครามอภิมหาอมตะยุทธ์ระหว่าง เทวดากับไพร่สาระขันฑ์ก็ยิ่งชัดเจนว่า แนวความคิดเรื่องการใช้ความรุนแรง และการกระทบกระทั่งต่อสถาบันนั้น ได้มีการดำเนินการในหมู่คนเสื้อแดงมาอย่างต่อเนื่อง
วิทยานิพนธ์คนเสื้อแดงระบุถึงยุทธศาสตร์การต่อสู้เอาไว้ 5 แนวทางด้วยกัน คือ พรรค มวลชน สื่อ การต่างประเทศ และโดยเฉพาะกองกำลังฝ่ายประชาชน ซึ่งถูกระบุให้เป็นแนวทางที่สำคัญที่สุดว่ากองกำลังฝ่ายประชาชน เพื่อปกป้องคุ้มครองมวลชนไม่ให้ถูกปราบปราม และเมื่อกองกำลังเข้มแข็งมากขึ้น มีคนเข้าร่วมมากขึ้น ก็จะกลายสภาพเป็น “กองทัพประชาชน”
“เราไม่ได้เรียกร้องว่าคนเสื้อแดง ทุกคนจะสู้ด้วยวิธีนี้ ใครทำอะไรได้ก็ทำ สู้แนวไหนได้ก็สู้ แต่ถ้าคนไหนพอจะเสียสละ พอจะพัฒนาฝีมือได้ ก็ควรจะทำและควรสนับสนุนคนที่ทำได้ การปฏิเสธแนวทางนี้ เป็นการปฏิเสธความจริงที่ต้องเผชิญ เราห้ามรัฐบาลทรราชฆ่าประชาชนไม่ได้ ถ้าเรายังเดินไปสู้อย่างใสซื่อ มือเปล่าอย่างเดียว เขามายิงเมื่อไหร่ ก็ตายเมื่อนั้น ก็แพ้เมื่อนั้น”
“เราจึงขอมี “เหล็กใน” ป้องกันตัวเองบ้าง ถ้ากองกำลังกำหนด“ยุทธศาสตร์” ได้ถูกสู้เพื่อ ความเสมอภาค เท่าเทียม สู้เพื่อให้มีอำนาจปกครองประเทศที่เป็นของประชาชน สู้เพื่อไม่ให้“ฆ่า” ประชาชน ก็จะเป็นปัจจัยให้กองกำลังฝ่ายประชาชนเข้มแข็ง มีคนเข้าร่วมเป็น“กองทัพประชาช
และเมื่อลงในรายละเอียดของหนังสือการต่อสู้ที่ชื่อสงครามอภิมหาอมตะยุทธ์ ระหว่างเทวดากับไพร่สาระขันฑ์ ก็จะเห็นภาพจากการลงรายละเอียดวิธีการต่อสู้ดังนี้
หัวข้อที่ 11 ว่าด้วยการจัดตั้งการ์ดของไพร่ในการจัดตั้งการ์ด หัวหน้าการ์ดจะต้องเลือกคนเข้ามาทำการประกอบหน่วย โดยยึดหลักว่า ต้องรู้นิสัยพื้นฐานของคน เช่นคนที่กล้าหาญที่จะต่อสู้ คนรอบคอบไม่ประมาทคอยป้องกัน หรือคนมีสติปัญหาจะให้คำที่ปรึกษา
หัวข้อที่ 12 ว่าด้วยขั้นตอนการต่อสู้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ขั้นที่ 1 ร้องขอ ไพร่จะสั่นกระดิ่งเรียกเทวดาให้ช่วยบรรเทาทุกข์ ขั้นที่ 2 เปิดโปง ไพร่จะชุมนุมด่าทอเทวดาแบบสันติวิธี ขั้นที่3 ต่อต้าน ไพร่จะขัดขืนหยุดงานหรือยึดถนนทำป้อมค่าย ขั้นที่ 4 โค่นล้ม ไพร่จะลุกขึ้นสู้ทำสงครามจรยุทธ์
หัวข้อที่ 15 ว่าด้วยสนามรบ และจากการเรียนการสอนโดยยึดเอาตำราเรียนเล่มนี้ ณ หมู่บ้านต่างๆ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกับประเทศสาระขัณฑ์ ก็พร้อมที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ ตามที่ผู้เขียนสรุปเอาไว้ว่า ไพร่ต้องร่วมกันต้าน แยกกันตี ไปทุกที่ที่มีอิทธิพลของเทวดา ก็เป็นการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน ที่คุ้นหูกันดีว่า แยกกันเดินร่วมกันตีนั่นเอง
หัวข้อที่ 17 ว่าด้วยกลศึกของไพร่สุดยอดขั้นตอนกลศึกของชนชั้นนำไพร่ก็คือ 1. โจมตีความศรัทธาในเทวดาก่อน เอาไดโนเสาร์ออกจากสมองไพร่ก่อน 2.โจมตีแผนลับข้าศึกให้แตก 3.โจมตีความสามัคคีข้าศึกให้แตก 4.สุดท้ายโจมตีร่างกายชีวิตได้โนเสาร์และตามรูปแบบการต่อสู้ใน
หัวข้อที่ 18 19 20 ที่ว่าด้วยการต่อสู้ใต้ดิน ว่าด้วยการต่อสู้โดย นักรบนินจา ที่ต้องแยกกันทำ ก่อนจะนำไปสู่บทสรุปของการได้รับชัยชนะเหนือไดโนเสาร์และเทวดา จนสามารถเข้าสู่ยุคใหม่ หลุดพ้นจากการเอารัดเอาเปรียบ พันธนาการทุกประการ
เห็นภาพอย่างชัดเจนว่าทฤษฎีของชาดพิชัยสงครามนั้น มีความสอดคล้องกับสถานการณ์จริงทั้งภาพและเสียงซึ่งเป็นหลักฐานที่ปรากฎอยู่ ในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ขณะที่การต่อสู้ที่จำกัดเป้าหมายเป็นเทวดานั้น จึงเป็นการตอกย้ำในข้อเท็จจริงที่ว่า การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงส่วนใหญ่นั้น กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงของการถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือในการโค่นล้มสถาบัน พระมหากษัตริย์ ซึ่งเชื่อว่าคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่ได้คิดเช่นนั้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)