วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554
เปรียบเทียบประวัติของ"วิเชียร"และ"เพรียวพันธ์" ให้ดูคุณสมบัติของ2คนนี้เป็นยังไง!!
ประวัติ"วิเชียร"
พลตำรวจเอก วิเชียร์ พจน์โพธิ์ศรี เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2496 ที่อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น โดยเป็นบุตรของนายพจน์ และนางหนูเกตุ โพธิ์ศรี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน และระดับอุดมศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 28 ปริญญาโท จาก 3 สถาบัน คือ คณะพัฒนบริหารศาสตร์ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า), คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และปริญญาโท ด้านกฎหมายเศรษฐกิจ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังจบหลักสูตร F.B.I. รุ่น 159, หลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 388 และหลักสูตรบริหารงานตำรวจ จากประเทศอังกฤษอีกด้วย และต่อมายังได้ก่อตั้งเครือข่ายของ F.B.I. ขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และเป็นนายกสมาคมนักเรียนเก่า F.B.I.N.A. แห่งประเทศไทย โดยถือเป็นสมาคมนักเรียนเก่าของ F.B.I. สถาบันแรกในโลกที่ก่อตั้งขึ้นนอกพื้นที่สหรัฐอเมริกาอีกด้วย และได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแห
พล.ต.อ.วิเชียร ได้รับการติดยศ พลตำรวจเอก (พล.ต.อ.) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ในตำแหน่งหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ (นรป.) ซึ่งถือว่าครองยศ พล.ต.อ. ก่อนรอง ผบ.ตร. และผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าคนอื่น ๆ ในรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่อมา พล.ต.อ.วิเชียร ถูกโยกมาดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง และรับผิดชอบงานด้านรักษาความสงบเรียบร้อยในการเลือกตั้ง (ศรส.ลต.ตร.) ตลอดจนงานดูแลความสงบในการชุมนุมทางการเมือง ซึ่ง พล.ต.อ.วิเชียร มีผลงานในเรื่องการควบคุมสถานการณ์ในวันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ได้อย่างดีเยี่ยมจนได้รับการยกย่อง
ชื่อของ พล.ต.อ.วิเชียร เป็นที่สนใจของสาธารณชนเมื่อได้รับคำสั่งจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแทน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ 2 ครั้ง ซึ่งลาพักราชการตามคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552 จนถึงวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552 และอีกครั้งในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552 จนถึงวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552 โดยก่อนหน้านั้น พล.ต.อ.วิเชียรดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 10) รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.วิเชียรได้เข้าดำรงตำแหน่งรักษาการผู้บัญการการตำรวจแห่งชาติ เพื่อคลี่คลายวิกฤติการณ์ทางการเมืองที่รุมเร้าเนื่องจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ถูกสังคมบางส่วนเพ่งเล็งว่าเป็น "ตอ" ทำให้คดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์และสื่อในเครือผู้จัดการ ไม่มีความคืบหน้า ด้วย พล.ต.อ.วิเชียร มีภาพลักษณ์ของนายตำรวจที่เป็นกลาง ไม่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ชีวิตส่วนตัว พล.ต.อ.วิเชียร มีนามสกุลเดิมว่า "โพธิ์ศรี" แต่ได้นำชื่อของบิดามาเพิ่มต่อหน้านามสกุล มีชื่อเล่นว่า "น้อย" ขณะที่เพื่อน ๆ จะเรียกกันว่า "น้าน้อย" สมรสกับนางกิ่งดาว พจน์โพธิ์ศรี
พลตำรวจเอก วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ถือว่าเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนแรกที่ได้รับมอบหมายตามพระราชบัญญํติความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ให้เป็น ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งเป็นศูนย์ที่จักตั้งเพื่อควบคุมการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ก่อนหน้านี้ หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการควบคุมการชุมนุมจะได้แก่ ผู้บัญชาการทหารบก หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นหรือ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง โดยหลังจากรับตำแหน่งนี้พลตำรวจเอก วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ได้แต่งตั้ง พลตำตรวจตรี ประวุฒิ ถาวรศิริ เป็น(โฆษก ศอ.รส.)พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย และ พล.ต.ต.พินิต มณีรัตน์เป็น(รองโฆษก ศอ.รส.)และได้ออกใช้อำนาจตาม มาตรา 18 พรบ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ออกหมายเรียกกลุ่มพันธมิตรประชาชนประชาธิปไตยมารับทราบข้อกล่าวหา เนื่องจากฝ่าฝืนข้อกำหนด
ประวัติ"เพรียวพันธ์"
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่น 12 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากสหรัฐอเมริกา มีเพื่อนร่วมรุ่น นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ รุ่น 12 ที่มีชื่อเสียง คือ นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร
ชีวิตส่วนตัว พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เคยสมรสกับ น.ส.ปาริชาติ ดิษยะศริน ก่อนจะหย่าร้างกันเมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบัน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ยังครองตัวเป็นโสด
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เข้าสู่วงการตำรวจ โดยไม่ได้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่ผ่านการอบรมหลักสูตร นายร้อยตำรวจอบรม รุ่นที่ 16 (นรอ.16) เริ่มรับราชการเมื่อปี พ.ศ. 2514 ตำแหน่งสำรองพิเศษ สังกัด กก.2ส. ต่อมาได้เป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตร ในปี พ.ศ. 2517 ในตำแหน่งรองสารวัตรแผนก 1 กก.สส.นครบาลเหนือ และได้ดำรงตำแหน่งวนเวียนอยู่เฉพาะในเขตนครบาลเกือบ 10 ปี โดยเป็นสารวัตรสอบสวน สน.จักรวรรดิ สน.ปทุมวัน และสน.ทุ่งมหาเมฆ จนถึงปี พ.ศ. 2523 ได้เป็น สารวัตรปราบปราม สน.นางเลิ้ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2526 จึงได้ออกต่างจังหวัดระยะสั้น ๆ โดยดำรงตำแหน่งสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง จ.ภูเก็ต ไม่ถึง 1 ปีก็กลับเข้านครบาลอีกครั้ง โดยได้ดำรงตำแหน่ง รอง ผกก. 2 ป. ตามด้วย ผกก.(กอ.รมน.)กำลังพล และ ผู้กำกับการตำรวจท่องเที่ยว ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการกองปราบปราม และรองผู้บัญชาการกองปราบปราม ก่อนจะดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และได้เป็น ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ปส.) เมื่อปี พ.ศ. 2543
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ มีผลงานโดดเด่นด้านการปราบปรามยาเสพติดตามนโยบายทำสงครามกับยาเสพติดในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเติบโตก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ราชการอย่างมาก โดยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทั้งที่เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีอาวุโสเป็นอันดับ 5 ก้าวข้ามอาวุโสผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนอื่น ๆ ที่มีอาวุโสสูงกว่าในขณะนั้น 4 คน คือ พล.ต.ท.บุญเพ็ญ บำเพ็ญบุญ, พล.ต.ท.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส, พล.ต.ท.สุเทพ ธรรมรักษ์ และ พล.ต.ท.ณพัฒน์ ศรีหิรัญ และต่อมาได้ครองยศ พล.ต.อ. ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ซึ่งทำให้ได้รับการวิจารณ์ว่าเป็นเพราะความเป็นเครือญาติกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นายกรัฐมนตรี
ต่อมาหลังการ รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถูกโยกย้ายไปเป็น ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ด้านความมั่นคง ในสังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ต่อมาหลังจากพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551 พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ได้กลับมาดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอีกครั้ง ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2551 จนถึงปัจจุบัน
แม้จะเพิ่งกลับมาดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2551 แต่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถือเป็น รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีอาวุโสสูงสุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีคำสั่งศาลปกครองให้นับอาวุโสของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ต่อเนื่องตั้งแต่ได้ดำรงตำแหน่งครั้งแรก ทำให้เป็นผู้หนึ่งที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต่อจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่จะเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ. 2552
ซึ่งเมื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ปรึกษา สบ.10 ดำรงตำแหน่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อขอความเป็นธรรม โดยยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เนื่องจากอ้างว่าตนเป็นรอง ผบ.ตร.ที่อาวุโสสูงสุด จึงควรจะได้รับตำแหน่งนี้มากกว่า
....................
ใครกันแน่ที่คู่ควรกับตำแหน่ง ผบ.ตร. มากที่สุด!!
วิเชียร” เปิดใจตาแดงก่ำ ยอมลุกจากตำแหน่งผบ.ตร
ยืนยันไม่ได้ทำอะไรผิด เชื่อมีขบวนการเลื่อยเก้าอี้ วางแผนทำลายองค์กร บีบให้ออกจากตำแหน่ง วอนให้หยุดการกระทำ เผยยอมเพื่อส่วนรวม ศักดิ์ศรี ชี้ตำแหน่งใหม่ต้องทัดเทียมสมเหตุผล โดยฝากผู้มีอำนาจต้องใช้อำนาจอย่างเป็นธรรม ชณะที่มีข่าวสะพัด "เพรียวพันธ์" จ่อนั่งเก้าอี้แทน
“ผมคิดว่าท่านที่เป็นรอง ผบ.ตร.อยู่ก็เหมาะสมที่จะมาเป็น เมื่อคิดว่าผมไม่เหมาะสม และมีหน้าที่อื่นเหมาะสมก็ไปได้ แต่ว่าควรมีเหตุมีผล แต่การใช้วิธีทำลายองค์กรให้เสียหายอย่างนี้ เรียนว่าขอให้หยุดการกระทำ” ผบ.ตร. กล่าว
ช่วงเช้าวันนี้ (31 ส.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธาน เปิดการประชุมเป้าหมายนักค้ายาเสพติดรายสำคัญและนักค้ายาเสพติดข้ามชาติ ระหว่างกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดและหน่วยปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย โดยมีตำรวจ บช.ปส. และเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯเข้าฟัง 95 คน ซึ่งตามกำหนดการ งานนี้จะต้องมี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร.ด้านกิจการพิเศษ ซึ่งรับผิดชอบกำกับดูแล บช.ปส. และเป็นคนที่กำลังถูกจับตาว่าจะขึ้นเป็น ผบ.ตร.คนต่อไป แต่ก็ไม่ได้มาร่วมงานแต่อย่างใด
ท่ามกลางกระแสข่าวว่า หลังจากมีความพยายามต่อรองอยู่นาน ท้ายที่สุดเมื่อคืนที่ผ่านมา พล.ต.อ.วิเชียร ก็ตัดสินใจรับข้อเสนอ ยอมออกจากตำแหน่งผบ.ตร.โดยอาจไปรับตำแหน่งใหม่เป็นปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แทนนายสมบัติ คุรพันธ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่จะเกษียณอายุราชการในปลายเดือนก.ย.นี้
ทั้งนี้ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวเปิดใจ กรณีนี้ด้วยสีหน้าเครียด และตาแดงก่ำ ว่า อย่างที่เรียนไปแล้ว การเข้ารับตำแหน่ง ผบ.ตร.นั้น เป็นการเสียสละ ไม่ใช่การเสวยสุข ต้องทำหน้าที่ตรากตรำ เหน็ดเหนื่อย สละเวลา เสี่ยงภัย เพราะต้องคอยจัดการปกป้องคนดี ขณะเดียวกันก็กำจัดคนชั่ว อาจต้องมีการกระทบกระทั่ง มีการฟ้องร้องต่างๆ เรียกว่าการเสียสละ เพื่อมารับหน้าที่ เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นว่าไม่เหมาะสม อยากเปลี่ยนแปลง ก็ยินดีที่จะไป แต่ต้องไปอย่างถูกต้องสมเหตุสมผล เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีพอสมควร เพราะว่าเราไม่ได้กระทำผิด เราเสียสละมาทำหน้าที่ด้วยซ้ำไป
“เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีอำนาจ ก็ต้องใช้อำนาจด้วยความเป็นธรรม ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขต่อส่วนรวม การกระทำที่ผ่านมา ใครที่ผิด ผมก็ว่าไปตามผิด สอบสวนไป ไม่ใช่ไปเหมารวม ผมคิดว่ามันเป็นการทำลายองค์กร โดยเฉพาะองค์กรที่เป็นสถาบันหลัก ต้นธารผดุงความยุติธรรม ที่ช่วยกันสร้างสมกันมาเป็น 100 ปี ต้องช่วยกันถนอมรักษากันไว้ เพื่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชน หากไปทำลายแล้ว จะทำให้ความเชื่อถือศรัทธาไม่มี เกิดความสับสนวุ่นวาย ไม่เป็นที่ยอมรับ นำมาสู่ความไม่สงบ ก็อยากฝากถึงผู้มีอำนาจ ให้คำนึงถึงเรื่องการใช้คุณธรรม หากท่านใช้อำนาจอย่างมีคุณธรรมก็จะอยู่ในหน้าที่อย่างยั่งยืน แต่ว่าถ้าท่านไม่มีคุณธรรม ก็ได้เท่านั้นแหละ ฉะนั้น หากท่านเห็นว่าผมไม่เหมาะสม ผมก็ยินดีไปในตำแหน่งที่เหมาะสม”ผบ.ตร.กล่าว
เมื่อถามว่า ยินดีรับตำแหน่งปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ต้องดูความเหมาะสมเสียก่อน ยังตอบไม่ได้ตอนนี้ ยังไม่ทราบ ขอพิจารณาก่อน ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองขอความเป็นธรรม ขอพูดแค่หลักการแค่นี้ก่อน
เมื่อถามว่า คิดว่าการใช้อำนาจโยกย้ายตนเองครั้งนี้ เป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าการสร้างเรื่อง สร้างราว เหมารวมทำให้ตำรวจที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ทำหน้าที่อย่างเสี่ยงภัย ตรากตรำ มาเหมารวมแบบนี้มันเสียหาย
เมื่อถามว่า คิดว่ามีการสร้างเรื่องมาเพื่อเลื่อยขาเก้าอี้ ผบ.ตร.กล่าวว่า ข่าวที่ออกมามันเป็นลักษณะอย่างนั้น ตำรวจมีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย เป็นต้นธารกระบวนการยุติธรรม ต้องสร้างความเชื่อถือศรัทธา
“ต้องเรียกว่าในช่วง ปี 2 ปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าได้ทำหน้าที่กอบกู้ความเชื่อถือศรัทธาของพี่น้องประชาชน ได้รับระดับหนึ่ง เรื่องตำแหน่งใหม่ อย่าเพิ่งพูดถึงเลย ต้องรอดูว่าท่านจะให้ไปดำรงตำแหน่งใด ซึ่งหากเสนอมาแล้วเหมาะสมก็จะสมัครใจไป”ผบ.ตร. กล่าว
เมื่อถามว่า จุดที่ทำให้ตัดสินใจยอมลุกจากเก้าอี้ ผบ.ตร.คืออะไร พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า เพื่อประเทศชาติ ประชาชน และพระมหากษัตริย์ อย่างที่บอกไปแล้ว ตนเชื่อว่าทำหน้าด้วยดีมาตลอด
ถามว่า เชื่อว่ามีขบวนการ วางงาน เพื่อเลื่อยขาเก้าอี้ของตนเอง หรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า ก็แล้วแต่
“ผมคิดว่าท่านที่เป็นรอง ผบ.ตร.อยู่ก็เหมาะสมที่จะมาเป็น เมื่อคิดว่าผมไม่เหมาะสม และมีหน้าที่อื่นเหมาะสมก็ไปได้ แต่ว่าควรมีเหตุมีผล แต่การใช้วิธีทำลายองค์กรให้เสียหาย อย่างนี้ เรียนว่าขอให้หยุดการกระทำ”
เมื่อถามว่า ท่านรู้สึกว่ามีความพยายาม ทำให้องค์กรบอบช้ำ เพื่อบีบให้ออกจากตำแหน่ง ใช่หรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ถูกต้อง
“ตอนนี้รู้สึกอย่างไรก็อย่างที่พูดไป การตัดสินใจอย่างไรออกไปก็เพื่อประโยชน์ส่วนรวม บนพื้นฐานของศักดิ์ศรี ที่ออกมาพูดเพื่อให้ตำรวจทั่วประเทศทำงานไปอย่างปกติ ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ใครจะมาเป็นผู้บังคับบัญชาให้อยู่บนพื้นฐานคุณธรรม” ผบ.ตร.กล่าว
ขณะที่ความคืบหน้าในการสืบสวนข้อเท็จจริงเรื่องบ่อนการพนัน ย่านรัชดา พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ก็มีการสอบสวนไป หากพบว่าบกพร่องก็ต้องทำไปตามระเบียบ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง จเรตำรวจแห่งชาติ เสนอมาอย่างไรก็ต้องว่าไปอย่างนั้น การสืบสวนสอบสวนของจเรฯก็ยังไม่เสร็จสิ้นเสียทีเดียว จะมีการสืบสวนสอบสวนขยายผลต่อไปอีก ว่าเมื่อมีการปล่อยปละละเลยแล้ว ยังเป็นประเภทที่ไปรับสินบนหรือเรียกรับผลประโยชน์นั้นมีหรือไม่ ถ้ามี ก็ต้องว่าไปตามบทลงโทษ
เมื่อถามว่า คิดว่าเรื่องนี้จะเงียบไปเมื่อมีการเปลี่ยน ผบ.ตร. เป็นการจบง่ายๆหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า มีระเบียบกฎเกณฑ์ก็ต้องว่าไปตามกฎหมายก็ต้อง การลงโทษนั้นให้ทางกองวินัยพิจารณาร่วมด้วยว่า มีเกณฑ์มีมาตรฐานอย่างไร เข้าข่ายหรือไม่ ในเบื้องต้นก็เห็นคล้อยตามที่จเรตำรวจแห่งชาติตำรวจเสนอ คืออยู่ในขั้นปล่อยปะละเลย เราก็จำเป็นต้องลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ก็ต้องดูในรายละเอียดต่อในชั้นนี้ก็ยังไม่ถึงขั้นขั้นร้ายแรง พยานหลักฐานยังไม่ถึงชัดเจนว่า เรียกรับผลประโยชน์ ถ้าเรียกรับผลประโยชน์ก็เป็นไปอีกขั้นหนึ่ง
สถิติใหม่ !!! 10 ที่ซู้ด - ที่สุด ..... เดอะ - ยิ่งลักษณ์
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นับเป็น นายกรัฐมนตรี ที่สร้างปรากฏการณ์ที่สำคัญ ให้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ มากที่สุดคนหนึ่ง ของประเทศไทย
หลายเรื่องเป็นสถิติ "ที่สุด" ในเวลานี้เสียด้วย เท่าที่ลองสำรวจตรวจตรา พบว่า สถิติที่น่าสนใจ มีดังต่อไปนี้
1. เส้นทางการเมืองสั้นที่สุด
ยิ่งลักษณ์ ไม่เคยมีชื่อ ในตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ มาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งในท้องถิ่นอย่าง อบต. อบจ. หรือตำแหน่งระดับชาติอย่าง ส.ส., ส.ว. ผู้ช่วยรัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี ฯลฯ
จู่ ๆ ทักษิณ ชินวัตร ก็ประกาศโครมว่า คนที่จะมาเป็น ว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย จะไม่ใช่หัวหน้าพรรค แต่จะเป็นผู้สมัคร ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1
ซึ่งต่อมา คนไทยทั่วประเทศ ก็ได้รู้อย่างเป็นทางการพร้อม ๆ กันว่า คือ ยิ่งลักษณ์ น้องสาว ทักษิณ นั่นเอง
2.ได้ฉายาเร็วที่สุด
ทันทีที่ชัดเจนว่า ยิ่งลักษณ์ คือ ว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย
เธอก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทันทีว่าเป็นแค่ "หุ่นเชิด" ของพี่ชาย
โดยเรียกกันสั้น ๆ ว่า "หุ่นปู"
แต่ทักษิณ รีบออกมาช่วยแก้เกี้ยวว่า ไม่ใช่หุ่น แต่เป็น "โคลนนิ่ง"
"ผมบอกเลยว่า ไม่ใช่-นอมินี แต่เรียกได้เลยว่าเป็น โคลนนิ่ง-ของทักษิณเลย
ผมโคลนนิ่งการบริหารให้ ตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ สไตล์การทำงานเหมือนผม รับการบริหารจากผมได้ดีที่สุด
อีกข้อสำคัญหนึ่ง ก็คือการที่ ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นน้องสาวผมมานั่งเก้าสำคัญในพรรค สถานะนั้นสามารถตัดสินใจแทนผมได้เลย เยส ออ โน นี่พูดแทนผมได้เลย"
ยิ่งลักษณ์ ก็เติมความดูดีให้ตัวเองยิ่งขึ้น ด้วยถ้อยคำสั้นๆ ว่า
"โคลนนิ่ง คือ การเข้าใจและรับหลักคิดการบริหารธุรกิจจาก ทักษิณ แต่การตัดสินใจนั้น จะตัดสินใจเอง"
ทว่า จนถึงบัดนี้ ใครได้เห็น "การตัดสินใจเอง" ของเธอบ้าง
3.หาเสียงง่ายที่สุด
ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้สมัครรับการเลือกตั้งที่ เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี แต่ไม่ต้องขึ้นเวทีประชันวิสัยทัศน์กับใคร
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ขุนพลคู่ใจ ที่ปราศรัยหาเสียงแทนเป็นชั่วโมง ๆ ในทุกเวที กล่าวกับสื่อมวลชนว่า
"เราไม่ต้องดีเบต เพราะเราดีแล้ว"
แหม..เก๋ไก๋ซะไม่มี !
แม้ในเวทีประชันวิสัยทัศน์เล็ก ๆ ของมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย ก็ได้ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ไปกล่าวแทน
ส่วนการตอบคำถามสื่อมวลชนในช่วงหาเสียง หรือ การจะได้เป็นข่าวหน้า 1 ในช่วงหาเสียง ก็มีผู้ประสานอำนวยความสะดวกให้อย่างชัดเจน
ดังปรากฏในจดหมายอิเลคทรอนิกส์ หรืออีเมล์ ที่อ้างว่าเป็นของรองโฆษกพรรคเพื่อไทย คือ วิม รุ่งวัฒนะจินดา
ที่ระบุกลยุทธ์ในการช่วยยิ่งลักษณ์หาเสียงว่า
"สำหรับหน้าที่ ที่ผม และ น้องสุธิศา รับผิดชอบช่วยคุณปูอยู่ในขณะนี้
1.แจ้งประเด็นให้คุณปู ทราบทุกวันว่า วันนี้มีประเด็นอะไร
ประเด็นไหนที่แรง ให้โยนไปให้ทีม คุณนิวัติธำรงค์ ช่วยแนะนำ
2.เช็กประเด็นจากสื่อมวลชน ว่าจะถามอะไรคุณปู เพื่อให้คุณปูเตรียมตัวให้พร้อมที่จะพูด
3.สร้างประเด็น หรือภาพกิจกรรม ในพื่นที่หาเสียง เพื่อให้ได้ภาพหน้า 1 ทุกวัน
4.ประสานหัวหน้าข่าว และโต๊ะข่าวการเมือง ว่าต้องการภาพแบบไหน เพื่อส่งให้ทุกวัน
5.ประสานสำนักข่าวต่างประเทศเพื่อให้ตามคุณปู ลงพื้นที่เพื่อให้ข่าวคุณปูออกไปทั่วโลก
6.ประสานสำนักข่าวในประเทศ เพื่อให้พรรค (คุณนิวัตธำรงค์) จัดบุคคลไปตอบคำถามในทีวี"
ซึ่งต่อมา สภาการหนังสือพิมพ์ ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นตรวจสอบอีเมล์นี้
สรุปผลว่า น่าเชื่อว่าวิมเป็นผู้เขียนอีเมล์เอง และมีการบริหารจัดการสื่อ อย่างเป็นระบบ
4.เป็นนายกฯ เร็วที่สุด
นับตั้งแต่เปิดตัว เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย
ยิ่งลักษณ์ ก็ก้าวพรวด ๆ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้
ตามสถิติที่ หนังสือพิมพ์ข่าวสด ออกหนังสือเล่ม-มาสรรเสริญเยินยอเธอ ก็นับเป็นเวลา-แค่ 49 วัน เท่านั้น
ยังไม่เคยมี อดีตนายกรัฐมนตรีคนไหน เคยทำได้มาก่อน
นั่นรวมไปถึง การได้เป็นนายก ฯ โดยไม่ต้องเป็น หัวหน้าพรรค มาก่อนด้วย
5.เป็นนายกฯ ที่สวยที่สุด
ก็แน่ละ เพราะ เธอเป็นสตรี คนแรกและคนเดียว ในขณะนี้ ที่ได้เป็น นายกรัฐมนตรี (อิอิ)
6.เป็นนายกฯ ทีมีพี่เลี้ยงมากที่สุด
ยิ่งลักษณ์ คือ "ทารกทางการเมือง" แต่กลับไม่เคยถูกด่าว่า "เป็นเด็ก"
จนบัดนี้ ยังไม่มีสื่อสอพลอใด ที่เคยติงเรื่องความเป็นเด็กของ อภิสิทธิ์ ลุกขึ้นมาติงเรื่องภาวะทารกของ ยิ่งลักษณ์
เมื่อครั้งที่ อภิสิทธิ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมี กรณ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ทักษิณ พูดตอนหนึ่งในการ "โฟนอิน" ไปยังงานสัมมนาของพรรคเพื่อไทย ที่เขาใหญ่ ว่า
"...ทั่วโลกมีปัญหา ความสามารถในการแก้ปัญหา โดยเด็กสองคนก็ลำบาก เด็กสองคนช่วยกันแก้ก็คงยาก มันไม่ง่ายอย่างที่คิด..."
ครั้นกลับลำมาเชิด น้องสาวของตัวเอง ซึ่งอายุน้อยกว่า อภิสิทธิ์ และ กรณ์ กลับไม่พูดเรื่อง "ความเป็นเด็ก" เลยสักนิด
นั่นรวมไปถึง แม่ยก กองเชียร์ และ สื่อกางเกงในแดง ทั้งหลาย
ที่เคยช่วยโหมประโคมประเด็น "ความเป็นเด็ก" และ "ความไม่มีประสบการณ์ในการบริหารบริษัทใหญ่ ๆ มาก่อน" ให้เป็นเรื่อง
ก็หุบปากนิ่งสนิท
โดย เฉพาะเมื่อ อภิสิทธิ์ แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ถึงสถานะของประเทศว่า
มีเงินคงคลังเพิ่มจาก 50,000 ล้านบาท เมื่อตอนเข้ารับตำแหน่ง เป็น 300,000 ล้านบาท มีอัตราการว่างงานต่ำเป็นประวัติการณ์
ซึ่งก่อนหน้านั้น คาดการณ์กันไว้ว่าจะเป็นปัญหาสำคัญที่สุด "...ฐานะของประเทศไทยในขณะนี้ มีเงินสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 180,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก และเพิ่มขึ้นถึง 70,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากการที่รัฐบาลชุดปัจจุบันได้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน โดยติดอันดับประเทศที่มีเงินสำรองสูงเป็นอันดับที่ 13 ของโลก ซึ่งหมายความว่าฐานะของประเทศไทยอยู่ในฐานะที่มีความเข้มแข็งอย่างยิ่ง
หนี้สาธารณะของประเทศเมื่อคิดเป็นสัดส่วนกับรายได้ประชาชาติก็ลดลงอย่างต่อ เนื่อง อยู่ที่ประมาณร้อยละ 40 หรือต่ำกว่า ซึ่งถือว่าเป็นอัตราส่วนที่ต่ำมากเมื่อเทียบเคียงกับประเทศต่างๆ ในโลก"
ความไม่ประสีประสา ในเรื่องไหนเลย ของ ยิ่งลักษณ์
จึงต้องถูกประกบโดย ทักษิณ ผู้พี่
นิวัติธำรง บุญทรงไพศาล ข้าเก่าเต่าเลี้ยงของ ทักษิณ
ที่คอยดูแล ภาพลักษณ์ การตอบคำถาม และประเด็นที่ควรพูด เมื่อปรากฏตัวต่อสาธารณะ
ยังไม่รวม "วอร์รูมลับ" ที่คอยโทรศัพท์กำกับบทให้เธอ ตลอดเวลาของการแถลงนโยบายที่ผ่านมาก
ที่หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ รายงานว่า นำโดย
นายจาตุรนต์ ฉายแสง, นายภูมิธรรม เวชชยชัย และ นายวราเทพ รัตนากร
7.กินอาหารพร้อมคณะทำงานแพงที่สุด
มีข้อมูลเปิดเผยกันว่อน ในอินเตอร์เนตว่า
ยิ่งลักษณ์ มีค่าใช้จ่าย เรื่องอาหารการกิน พร้อมด้วยทีมงาน รวมกันเป็นเงิน 211,850 บาทต่อวัน
โดยมี ต้มยำกุ้งมังกร เป็นอาหารเช้า และ อาหารจีน อาหารยุโรป อาหารไทย สลับสับเปลี่ยนกันไป
ว่ากันว่า อาหารพวกนี้ สมัยที่ อภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
เมนูเหล่านี้จะจัดไว้เฉพาะผู้นำ หรือแขกสำคัญ ๆ ของผู้นำเท่านั้น
ไม่ได้แจกจ่ายให้ "ที่ปรึกษาหรือคณะทำงาน" เพราะ ราคาต่อหัวเฉียดตกราว ๆ 4,237 บาท
อภิสิทธิ์ เองก็กินเมนูพวกนี้บ้าง แต่คณะที่ปรึกษาและคณะทำงาน ไม่ได้กินด้วย
ส่วนใหญ่ อภิสิทธิ์ จะลงมากินข้าวข้างล่าง ที่โรงอาหารด้านหลัง เมนูประจำคือ ข้าวไข่เจียวป้าน้อย
เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร ยังไม่ได้ยินจากปากของ ยิ่งลักษณ์ เลย
8.อ่านบทแถลงนโยบายนานที่สุด
อันที่จริงแล้ว นายกฯ รัฐมนตรีคนอื่น ๆ เขาอาจจะแถลงนโยบายยาวและนานกว่า ยิ่งลักษณ์ ก็ได้
แต่ท่านเหล่านั้น ใช้วิธี "พูดแถลง" ไม่ใช่ "อ่านแถลง" ตามบทที่แจกจ่ายให้สมาชิกทุกคนได้ดูล่วงหน้ามาแล้ว
ฉะนั้น เธอจึงได้ตำแหน่ง "อ่านแถลงนโยบาย" นานที่สุด คือ อ่าน 44 หน้า ในเวลา 2 ชั่วโมง 20 นาที
ซึ่งคงไม่ต้องพูดถึง คุณภาพของการอ่าน นะครับว่า ดีหรือเลว เพียงใด
9.กลับคำเร็วที่สุด
ยิ่งลักษณ์ ประกาศนโยบาย "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 ที่ราชมังคลากีฬาสถาน
แถลงนโยบาย 23 สิงหาคม ปีเดียวกัน ห่างกันเพียงเดือนเศษ ๆ
นโยบายที่ประกาศต่อชาวบ้านเอาไว้ว่า "จะทำ" ก็ถูกดัดแปลง เปลี่ยนไป-หลายข้อ ที่สำคัญที่สุด คือ
"ค่าแรงขั้นต่ำ" ทำทันที-ทั่วประเทศ 300 บาท ก็เปลี่ยนเป็นคำว่า "รายได้" และ ไม่อาจ-ทำได้ทันที ด้วย
"เงินเดือนเริ่มต้น" ของผู้จบปริญญาตรี 15,000 บาท ก็เปลี่ยนเป็นคำว่า "รายได้" เช่นเดียวกัน
ทั้งๆ ที่ให้ผลทางกฎหมายแรงงานและสวัสดิการ ต่างกันสิ้นเชิง
10.มีผู้ต้องหาและต้องคดีอยู่รอบตัวมากที่สุด
ขณะนี้ในประเทศไทย ยกเว้น ผู้คุม และ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์แล้ว
คงไม่มีใคร มีคนรอบตัว เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องคดี หรือ ผู้ถูกออกหมายจับจากทางการ มากกว่า ยิ่งลักษณ์ อีกแล้ว
เริ่มจากตัวเธอเอง ถูกกล่าวโทษเรื่อง การให้ข้อมูลเท็จต่อเจ้าพนักงาน เบิกความเท็จต่อศาล และ ปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นต่อตลาดหลักทรัพย์
มีรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล คือ
เผดิมชัย สะสมทรัพย์ เป็นบุคคลล้มละลาย
มีข้าราชการการเมือง ประจำสำนักเลขาธิการนายกฯ อาทิ
ไพจิตร อักษรณรงค์, ธนกฤต ชะเอมน้อย (วันชนะ เกิดดี) และรังษี เสรีชัย ซึ่งต่างถูกออกหมายจับตาม พรก. ฉุกเฉินฯ
พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 กรณีการบุกอาคารรัฐสภา และ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับในการชุมนุม พ.ศ.2553
มิต้องพูดถึง แกนนำเสื้อแดงอย่าง
จตุพร พรหมพันธุ์, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, น.พ.เหวง โตจิราการ, ชินวัฒน์ หาบุญพาด, อารีย์ ไกรนรา ฯลฯ
ก็หวังว่า ยิ่งลักษณ์ จะไม่สร้างสถิติ
"อยู่ในเก้าอี้-นายกรัฐมนตรี-สั้นที่สุด"
เป็นข้อที่ 11 อีกล่ะนะ !!!
by เชษฐ
ปิด 3 ทฤษฎีแดง...แผนปฏิบัติการพลัดถิ่นล้มเทวดา!
ชาดพิชัยสงคราม ทฤษฎีการต่อสู้ล่าสุดของคนเสื้อแดง ที่กำลังเผยแพร่บนโลกอินเตอร์ในเครือข่ายคนเสื้อแดงอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ผู้เขียนได้ระบุถึงเป้าหมายการต่อสู้ไปจนถึงเทวดา และการนำอาวุธมาใช้ เช่นเดียวกันกับวิทยานิพนธ์คนเสื้อแดง และคู่มือการต่อสู้ของขบวนการล้มเจ้าที่ชื่อสงครามอภิมหาอมตะยุทธ์ระหว่าง เทวดากับไพร่สาระขัณฑ์ ไพร่สู้นายสงครามชนชั้น ที่ได้มีการเผยแพร่ไปก่อนหน้านี้
เนื้อหาการต่อสู้ ระบุในชื่อ ชาดพิชัยสงคราม โดย รุ่งศิลา ซึ่งเป็นแนวทางการต่อสู้กับเผด็จการเทวดา ด้วย อาวุธและปริมาณมวลชน
การจัดตั้ง แบ่งเป็น 4 ส่วน
1. องค์กรนำกลางฝ่ายมวลชนเสื้อแดง ที่เป็นเอกภาพได้รับการยอมรับ
2. มวลชนเสื้อแดงต่อต้านเผด็จการ
3. รัฐบาลพลัดถิ่น
4. กองกำลังติดอาวุธ
หลักนิยมปฏิบัติขององค์กรนำกลางฝ่ายมวลชนเสื้อแดง ทำหน้าที่ ชี้นำมวลชนเสื้อแดงต่อต้านเผด็จการโดยมีรัฐบาลพลัดถิ่นทำหน้าที่บังคับบัญชา กองกำลังติดอาวุธ
ถึงบรรทัดนี้ต้องบอกว่าไม่ธรรมดากันเลยทีเดียวสำหรับทฤษฎีการต่อสู้ ที่มีการพูดถึงทั้งกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งจะถูกบังคับบัญชาโดยกองกำลังพลัดถิ่น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่มีการพูดถึงการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในหมู่คนเสื้อแดง ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปลายปี 2553 นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำนปช.สายฮาร์อคอ ได้วีดีโอลิงค์และเขียนบทความมาถึงคนเสื้อแดง ว่าจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น เพื่อสู้รบกับ “อำมาตย์”และก็ได้รับการขานรับทั้งจากนายจักรภพ เพ็ญแข นายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง และแกนนำคนเสื้อแดงอีกหลายส่วน
ซึ่งก็น่าสนใจว่าเป็นนายอริสมันต์คนเดียวกันนี้ที่พูดถึงคำว่ารัฐบาลพลัด ถิ่นกับกองกำลังติดอาวุธ ตรงตามทฤษฎีการต่อสู้ของชาดพิชัยสงคราม แบบไม่มีผิดเพี้ยน
แนวคิดเรื่องรัฐบาลพลัดถิ่น จะใช่การจัดตั้งสมาพันธ์ประชาชนสร้างประชาธิปไตยหรือสปสป. หรือไม่ ซึ่งเป็นข้อมูลของหน่วยการจัดตั้งที่เพิ่งหลุดออกมาจากปากนายเทพพนม นามลี ประธาน นปช.สุรินทร์ หลังการพบปะกับนายอริสมันต์ ที่กัมพูชาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2554
สมาพันธ์ประชาชนสร้างประชาธิปไตยหรือสปสป. ก่อตั้งแล้ว ที่นครวัด จังหวัดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา โดยมี นายอริสมันต์ เป็นประธานรักษาการ และตนเป็นเลขาธิการรักษาการ ส่วนนปช.แต่ละจังหวัดร่วมเป็นโครงสร้างหลักของสมาพันธ์ฯ
และเร็วๆนี้จะมีการประสานเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นประธานสมพันธ์ประชาชนสร้างประชาธิปไตย
ด้วยความสอดคล้องที่ว่ามานี้ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือแกนนำนปช.ส่วนกลาง จะรู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธพฤติกรรมของแกนนำอย่างนายอริสมันต์ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ใกล้ชิดและมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างกันอยู่เป็นระยะๆ
ยิ่งไปกว่านั้นหากย้อนกลับไปพิจารณาข้อมูลในหน้าหนังสือวิทยานิพนธ์คนเสื้อ แดง และคู่มือการต่อสู้ของขบวนการล้มเจ้าที่ชื่อสงครามอภิมหาอมตะยุทธ์ระหว่าง เทวดากับไพร่สาระขันฑ์ก็ยิ่งชัดเจนว่า แนวความคิดเรื่องการใช้ความรุนแรง และการกระทบกระทั่งต่อสถาบันนั้น ได้มีการดำเนินการในหมู่คนเสื้อแดงมาอย่างต่อเนื่อง
วิทยานิพนธ์คนเสื้อแดงระบุถึงยุทธศาสตร์การต่อสู้เอาไว้ 5 แนวทางด้วยกัน คือ พรรค มวลชน สื่อ การต่างประเทศ และโดยเฉพาะกองกำลังฝ่ายประชาชน ซึ่งถูกระบุให้เป็นแนวทางที่สำคัญที่สุดว่ากองกำลังฝ่ายประชาชน เพื่อปกป้องคุ้มครองมวลชนไม่ให้ถูกปราบปราม และเมื่อกองกำลังเข้มแข็งมากขึ้น มีคนเข้าร่วมมากขึ้น ก็จะกลายสภาพเป็น “กองทัพประชาชน”
“เราไม่ได้เรียกร้องว่าคนเสื้อแดง ทุกคนจะสู้ด้วยวิธีนี้ ใครทำอะไรได้ก็ทำ สู้แนวไหนได้ก็สู้ แต่ถ้าคนไหนพอจะเสียสละ พอจะพัฒนาฝีมือได้ ก็ควรจะทำและควรสนับสนุนคนที่ทำได้ การปฏิเสธแนวทางนี้ เป็นการปฏิเสธความจริงที่ต้องเผชิญ เราห้ามรัฐบาลทรราชฆ่าประชาชนไม่ได้ ถ้าเรายังเดินไปสู้อย่างใสซื่อ มือเปล่าอย่างเดียว เขามายิงเมื่อไหร่ ก็ตายเมื่อนั้น ก็แพ้เมื่อนั้น”
“เราจึงขอมี “เหล็กใน” ป้องกันตัวเองบ้าง ถ้ากองกำลังกำหนด“ยุทธศาสตร์” ได้ถูกสู้เพื่อ ความเสมอภาค เท่าเทียม สู้เพื่อให้มีอำนาจปกครองประเทศที่เป็นของประชาชน สู้เพื่อไม่ให้“ฆ่า” ประชาชน ก็จะเป็นปัจจัยให้กองกำลังฝ่ายประชาชนเข้มแข็ง มีคนเข้าร่วมเป็น“กองทัพประชาช
และเมื่อลงในรายละเอียดของหนังสือการต่อสู้ที่ชื่อสงครามอภิมหาอมตะยุทธ์ ระหว่างเทวดากับไพร่สาระขันฑ์ ก็จะเห็นภาพจากการลงรายละเอียดวิธีการต่อสู้ดังนี้
หัวข้อที่ 11 ว่าด้วยการจัดตั้งการ์ดของไพร่ในการจัดตั้งการ์ด หัวหน้าการ์ดจะต้องเลือกคนเข้ามาทำการประกอบหน่วย โดยยึดหลักว่า ต้องรู้นิสัยพื้นฐานของคน เช่นคนที่กล้าหาญที่จะต่อสู้ คนรอบคอบไม่ประมาทคอยป้องกัน หรือคนมีสติปัญหาจะให้คำที่ปรึกษา
หัวข้อที่ 12 ว่าด้วยขั้นตอนการต่อสู้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ขั้นที่ 1 ร้องขอ ไพร่จะสั่นกระดิ่งเรียกเทวดาให้ช่วยบรรเทาทุกข์ ขั้นที่ 2 เปิดโปง ไพร่จะชุมนุมด่าทอเทวดาแบบสันติวิธี ขั้นที่3 ต่อต้าน ไพร่จะขัดขืนหยุดงานหรือยึดถนนทำป้อมค่าย ขั้นที่ 4 โค่นล้ม ไพร่จะลุกขึ้นสู้ทำสงครามจรยุทธ์
หัวข้อที่ 15 ว่าด้วยสนามรบ และจากการเรียนการสอนโดยยึดเอาตำราเรียนเล่มนี้ ณ หมู่บ้านต่างๆ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกับประเทศสาระขัณฑ์ ก็พร้อมที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ ตามที่ผู้เขียนสรุปเอาไว้ว่า ไพร่ต้องร่วมกันต้าน แยกกันตี ไปทุกที่ที่มีอิทธิพลของเทวดา ก็เป็นการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน ที่คุ้นหูกันดีว่า แยกกันเดินร่วมกันตีนั่นเอง
หัวข้อที่ 17 ว่าด้วยกลศึกของไพร่สุดยอดขั้นตอนกลศึกของชนชั้นนำไพร่ก็คือ 1. โจมตีความศรัทธาในเทวดาก่อน เอาไดโนเสาร์ออกจากสมองไพร่ก่อน 2.โจมตีแผนลับข้าศึกให้แตก 3.โจมตีความสามัคคีข้าศึกให้แตก 4.สุดท้ายโจมตีร่างกายชีวิตได้โนเสาร์และตามรูปแบบการต่อสู้ใน
หัวข้อที่ 18 19 20 ที่ว่าด้วยการต่อสู้ใต้ดิน ว่าด้วยการต่อสู้โดย นักรบนินจา ที่ต้องแยกกันทำ ก่อนจะนำไปสู่บทสรุปของการได้รับชัยชนะเหนือไดโนเสาร์และเทวดา จนสามารถเข้าสู่ยุคใหม่ หลุดพ้นจากการเอารัดเอาเปรียบ พันธนาการทุกประการ
เห็นภาพอย่างชัดเจนว่าทฤษฎีของชาดพิชัยสงครามนั้น มีความสอดคล้องกับสถานการณ์จริงทั้งภาพและเสียงซึ่งเป็นหลักฐานที่ปรากฎอยู่ ในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ขณะที่การต่อสู้ที่จำกัดเป้าหมายเป็นเทวดานั้น จึงเป็นการตอกย้ำในข้อเท็จจริงที่ว่า การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงส่วนใหญ่นั้น กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงของการถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือในการโค่นล้มสถาบัน พระมหากษัตริย์ ซึ่งเชื่อว่าคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่ได้คิดเช่นนั้น
ฟื้นรัฐตำรวจ เสริมอันธพาลครองเมือง (สารส้ม)

ฟื้นรัฐตำรวจ เสริมอันธพาลครองเมือง (สารส้ม)
ข่าวที่ว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยาของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จะก้าวขึ้นเสียบแทนในตำแหน่ง ผบ.ตร.คนใหม่นั้น น่าจะมีมูลความจริง
อย่างน้อย... ก็จริงในความต้องการของรัฐบาลชุดใหม่
เพราะบรรดาแกนนำคนเสื้อแดงและคนของพรรคเพื่อไทยที่อุ้มกันเข้าไปเสวยสุขอยู่ในทำเนียบรัฐบาลเวลานี้ มีคดีความผิดเป็นชนักติดหลังกันอยู่หลายคน แถมแต่ละคนก็มีหลายคดี จำเป็นจะต้องได้อำนาจของสีกากีเข้ามาช่วยปัดเป่า
ขืนปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมทำหน้าที่ตามปกติ ก็ไม่แน่ว่าจะติดคุกติดตะรางกันในเร็ววันหรือไม่?
หรือถ้าปล่อยให้คดีเดินขึ้นไปถึงชั้นศาลยุติธรรม ก็เคยมีบทเรียนมาแล้วว่า ไม่สามารถจะวิ่งเต้นศาลกันได้ง่ายๆ ดังที่ทีมทนายความคดีที่ดินรัชดาฯ ของทักษิณต้องติดคุกติดตะรางในฐานหิ้วเงินล้านใส่ถุงขนมไปให้เจ้าหน้าที่ศาลกันมาแล้ว
ตำรวจเป็นต้นธารของกระบวนการยุติธรรม เพราะฉะนั้น ก็เล่นมันตั้งแต่ต้นธารเลยประไร
เป็นเหตุผลว่า ทำมั๊ย... ทำไม... ถึงได้มีการเปิดประเด็นโจมตีการทำงานของตำรวจในยามนี้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ่อนกลางกรุง หรือเรื่องปัญหายาเสพติด
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า "บ่อนเต็มไปหมด ยาเสพติดระบาด อบายมุขเลอะเทอะ ผู้บังคับบัญชาจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะเป็นผู้บังคับบัญชา"
แน่นอน... เป็นเรื่องถูกต้องที่จะต้องเล่นงานตำรวจที่ปล่อยปละละเลยให้เด็ดขาด
ล้างบางกันไปเลย!
แต่ถ้าใช้หลักเหตุผลนี้ มาเปลี่ยนตัว ผบ.ตร. ก็ต้องขอคำยืนยันว่า หากเปลี่ยนตัว ผบ.ตร.แล้ว ปัญหายังไม่หมดไป ก็จะต้องเปลี่ยนตัว ผบ.ตร.กันไปเรื่อยๆ ใช่ไหม?
แล้วข้อที่อ้างว่าปัญหายาเสพติดชุกชุมนั้น สงสัยว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ก็รับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยนี่นา
หรือจะให้ท่านรับแต่ "ชอบ"
ส่วน "ผิด" ไม่ให้รับ
เรื่องของเรื่อง คนเขาจึงมองกันออกทั้งประเทศ ว่าคิดอยากจะเอาน้องเมียทักษิณขึ้นมาเป็นใหญ่!
ทำไมไม่ยอมรับกันตรงๆ ทำอย่างกับคนไทยโง่เง่าเต่าตุ่นกันไปได้
ที่สำคัญ... ความกระสันอันนี้ มันปรากฏออกมาตั้งแต่ยุคทักษิณโน่นแล้ว
ลืมไปแล้วหรือ... เขาเคยดันก้นกันน่าเกลียดแค่ไหนในยุครัฐบาลทักษิณ
ยุคโน้น... พล.ต.อ.เพรียวพันธ์เคยได้รับการแต่งตั้งแบบก้าวกระโดด ข้ามลำดับอาวุโส ขึ้นมาสู่ตำแหน่ง "รอง ผบ.ตร." อย่างน่ากังขา จนนำไปสู่การร้องเรียนของนายตำรวจที่ถูกข้ามหัว
ในครั้งนั้น พล.ต.อ.สุวรรณ สุวรรณเวโช อยู่ในตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร. (ครองยศ พล.ต.ท.) ก้าวลงจากตำแหน่ง เปิดทางให้มีการโยกย้ายโผนายพลนอกฤดูกาล เปิดช่องให้ พล.ต.ท.เพรียวพันธ์ ได้โยกจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ขึ้นเสียบเป็น "ผู้ช่วย ผบ.ตร."
รอจังหวะก้าวขึ้นไปเป็น รอง.ผบ.ตร.อีกขั้นหนึ่ง
หลังจากนั้น พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ ขณะนั้นเป็นรอง ผบ.ตร. ก็ถูกโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดทางให้มี "รอง ผบ.ตร." คนใหม่
และแล้ว ก็ได้มีการตั้ง พล.ต.ท.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.อาวุโสลำดับ 5 กระโดดขึ้นเป็น รอง.ผบ.ตร. จริงๆ !
แหม... มีใครจะเชื่อบ้างว่าเรื่องทั้งหมดนี้ มันบังเอิญ จังหวะพอเหมาะพอเจาะเอง
การค้ำถ่อกระโดดสูงในยุครัฐบาลทักษิณนั้น ได้ข้ามอาวุโส ผู้ช่วย ผบ.ตร.ที่มีอาวุโสกว่า ได้แก่ พล.ต.ท.บุญเพ็ญ บำเพ็ญบุญ, พล.ต.ท.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส, พล.ต.ท.สุเทพ ธรรมรักษ์ และ พล.ต.ท.ณพัฒน์ ศรีหิรั
พล.ต.ท.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส รับไม่ได้ ถึงกับยื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรม ความบางตอนว่า
"...จะให้กระผมเข้าใจได้หรือไม่ว่า เป็นการเลือกปฏิบัติ ทั้งนี้เพราะ พล.ต.ท.เพรียวพันธ์ ซึ่งมีอาวุโสเป็นอันดับที่ 5 เป็นพี่ชายภรรยา ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (ทักษิณ ชินวัตร) และก่อนหน้านี้ก็มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ตลอดเวลาว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอาจถูกย้ายออกจากตำแหน่ง จึงมีการตีความเลี่ยงไปจากที่เคยปฏิบัติ และเสนอชื่อ พล.ต.ท.เพรียวพันธ์ ข้ามอาวุโสผู้อื่น ซึ่งถ้า พล.ต.ท.เพรียวพันธ์ ไม่ใช่พี่ภรรยาของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และมิได้มีข่าวเกี่ยวกับตัวผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาก่อน ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและคณะกรรมการคัดเลือกฯ ตลอดจนคณะกรรมการข้าราชการตำรวจจะดำเนินการและมีมติเช่นนี้หรือไม่..."
เพียงแค่นี้ ก็คงมองเห็นความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะ "ดันก้นน้องเมียทักษิณขึ้นเป็นใหญ่" ว่าเคยมีมาตั้งแต่ครั้งกระโน้นแล้ว
มาวันนี้ ความต้องการไม่ลด แต่ความจำเป็นยิ่งเพิ่ม... ไหนจะคดีของแกนนำเสื้อแดง ไหนจะคดีของทักษิณและพวก แล้วไหนจะเสียงเรียกร้องของสังคมให้กำราบอันธพาลเสื้อแดงบางส่วนที่กำลังกร่างคับประเทศ
ทั้งตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง ทั้งไล่ทุบไล่ตีคนที่ทำไม่ถูกใจพวกตน ทั้งยกพวกมากไปกดดันข่มขู่คนที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อพวกตน ฯลฯ
ผู้บัญชาการตำรวจยุคนี้ จะต้องปรองดองกับพวกอันธพาลเสื้อแดง หรือ "เรดการ์ด" ด้วยหรือเปล่า?
เพราะอย่างนี้ ถึงต้องเป็นคนในวงศ์วานว่านเครือ "ระบอบทักษิณ" สายตรง ใช่ไหม?
วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554
โผทหารเสร็จ-ตท.12 พรึ่บ "ทนงศักดิ์"ผงาดผช.ผบ.ทบ. เตรียมนำขึ้นทูลเกล้าฯสัปดาห์หน้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารประจำปี 2554 หลังจากที่โผรายชื่อได้จัดส่งสำเนามายัง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา จากนั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์ได้ส่งกลับให้แต่ละเหล่าทัพเพื่อปรับแก้ไขพิจารณาใหม่ เนื่องจากมีเวลาพอที่จะพิจารณาชื่อเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องกับนโยบายความปรองดองของรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม บรรดาเหล่าทัพโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ได้นำบัญชีรายชื่อจัดส่งมายัง พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) เป็นที่เรียบร้อย จากนั้น พล.อ.ทรงกิตติได้จัดส่งสำเนารายชื่อมายัง พล.อ.ยุทธศักดิ์เพื่อตรวจทานรายชื่อ ซึ่งปรากฏว่ามีการเปลี่ยนแปลงรายชื่อเล็กน้อย เพื่อความเหมาะสมและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดย พล.อ.ยุทธศักดิ์ พล.อ.ทรงกิตติ และ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มีการหารือเพื่อให้การเสนอรายชื่อโยกย้ายทหารอีกรอบเพื่อความเหมาะสมในการทำงานร่วมกับรัฐบาล
สำหรับสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ผบ.เหล่าทัพเห็นด้วยตามที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์เสนอ พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้ที่มีความอาวุโสอันดับหนึ่งของกระทรวงกลาโหมขึ้นเป็น ปลัดกระทรวงกลาโหม โดยมี พล.อ.สกนธ์ สัจจานิจย์ เจ้ากรมเสมียนตรา เป็น รองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ชาตรี ทัตติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกลาโหม (สงป.) เป็น รองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ร.อ.อภิวัฒน์ ศรีวรรธนะ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทร. เป็น รองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.ศรีเชาวน์ จันทร์เรือง ผช.ผบ.ทอ. เป็น รองปลัดกระทรวงกลาโหม
พล.อ.ม.ล.ประสบชัย เกษมสันต์ ที่ปรึกษาพิเศษ สป. เป็น ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกลาโหม พล.อ.ชัชวาลย์ ขำเกษม ที่ปรึกษาพิเศษ สป. เป็น เจ้ากรมเสมียนตรา พล.ท.ไพชยนต์ ค้าทันเจริญ รองผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนกลาโหม (สนผ.กห.) เป็น ผอ.สนผ.กห.
ขณะที่กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) พล.อ.ทรงกิตติได้เสนอชื่อ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ประธานที่ปรึกษา บก.ทท. เป็น ผบ.สส. โดยให้เหตุผลว่าได้พูดคุยกับ พล.อ.เสถียร และ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เสธ.ทหาร โดยมีข้อตกลงว่าหาก พล.อ.เสถียรเกษียณอายุราชการในปี 2555 จะส่งตำแหน่ง ผบ.สส.ให้กับ พล.อ.ธนะศักดิ์ต่อไป ทำให้ พล.อ.ธนะศักดิ์ต้องนั่งในตำแหน่ง เสธ.ทหารต่อไปอีก 1 ปี แต่ที่ฮือฮาเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ได้ใช้โควตา ทบ.เสนอชื่อ พล.อ.คณิต สาพิทักษ์ ประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม น้องรักบูรพาพยัคฆ์ข้ามฟากมาเป็น รอง ผบ.สส. เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ส่งนายทหารจาก ทบ.ข้ามมานั่งในตำแหน่งดังกล่าว จึงให้ พล.อ.คณิตไปแทน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ได้หารือกับ พล.อ.ทรงกิตติ และ พล.อ.ยุทธศักดิ์ และทุกฝ่ายไม่ มีปัญหาและยอมรับได้
ขณะที่รายชื่อส่วนใหญ่ของกองทัพบก (ทบ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้จัดทำโผและยังคงดันเพื่อน "ตท.12" ขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญเหมือนเดิม โดยดัน พล.อ. ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ จาก เสธ.ทบ.ขึ้นเป็น รอง ผบ.ทบ. ขยับ พล.อ.ยุทธศิลป์ โดยชื่นงาม "ตท.11" จาก ผช.ผบ.ทบ. ขึ้นเป็นประธานคณะที่ปรึกษา ทบ. เปิดทาง พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน "ตท.11" เพื่อนร่วมรุ่นจากที่ปรึกษา ทบ. ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ. ตามข้อตกลงที่ พล.อ.ประยุทธ์เคยสัญญาว่าจะให้ตำแหน่งนี้เมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้ยังมีแรงหนุนจากรัฐบาลเพื่อไทยสนับสนุน เนื่องจากเป็น "น้องเขย" ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย
นอกจากนั้น ยังดึง พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ. เพื่อน "ตท.12" จากเดิมที่จะดัน พล.ท.โปฎก บุนนาค ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) เพื่อนอีกคนขึ้น แต่เกรงว่ากลัวถูกต้านจากรัฐบาล เพราะเป็นกำลังหลักในการสลายคนเสื้อแดงที่ผ่านมา โดยให้ พล.ท. ศิริชัย ดิษฐกุล "ตท.13" รอง เสธ.ทบ. ขึ้นเป็น เสธ.ทบ. เพื่อดูสายงานด้านยุทธการ พร้อมทั้งยังมีแรงหนุนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผลักดันเพื่อให้มารับตำแหน่งนี้
สำหรับเพื่อน ตท.12 ที่ขึ้นตำแหน่งสำคัญประกอบด้วย พล.ท.ชลวิทย์ เพิ่มทรัพย์ ปช.ทบ. เป็น หน.ฝสธ.ประจำ ผบช. พล.ท.สิงห์ศึก สิงห์ไพร จก.ยศ.ทบ. เป็น ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. (อัตราพลเอก) พล.ท.โปฎก บุนนาค ผบ.นสศ. เป็น ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ.(อัตราพลเอก) พล.ท.อำพน ชูประทุม ผช.เสธ.ทบ.ฝกพ. เป็น รอง เสธ.ทบ. พล.ท.วิลาศ อรุณศรี ผช.เสธ.ทบ.ฝขว. เป็น รอง เสธ.ทบ. พล.ท.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ผช.เสธ.ทบ.ฝกร. เป็น รองเสธ.ทบ. พล.ท.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ผช.เสธ.ทบ. ฝกบ. เป็น ปลัดบัญชี ทบ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้หารือกับ ผบ.เหล่าทัพถึงขอบเขตอำนาจหน้าที่รัฐ มนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มีอำนาจสูงสุดในการเปลี่ยนแปลง แก้ไข และปรับเปลี่ยนในตำแหน่งการปรับย้ายนายทหารเพื่อความเหมาะสม โดยขอให้ ผบ.เหล่าทัพดูกฎกระทรวงกลาโหมในข้อ มาตรา 25 ที่ระบุชัดเจนว่า ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องโหวต เพียงแต่ให้ใช้วิธีที่กลาโหมกำหนดซึ่งใครเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะสามารถกำหนดวิธีของตนเอง โดยสามารถออกเป็นคำสั่งของกลา โหมซึ่ง ไม่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติการจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม ที่ผ่านมาคนทั่วไปเข้าใจว่า พ.ร.บ.กำหนดให้โหวตจึงเป็นการเข้าใจผิด ข้อเท็จจริงเป็นอำนาจของรัฐมนตรีและการแต่งตั้งทหารทุกระดับชั้นไม่มีประเทศไหนใช้การโหวต มิฉะนั้นทหารจะไม่ฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา จะกลายเป็นนักการเมืองไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับโผโยกย้ายทหาร คาดว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์จะนำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารประจำปี 2554 มอบให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯได้ภายในสัปดาห์หน้า
ที่กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) พล.อ. ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ให้สัมภาษณ์ถึงการโยกย้ายบัญชีรายชื่อนายทหารประจำปีว่า คุณสมบัติของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนใหม่ จะต้องควบคุมบังคับบัญชากองทัพไทย ซึ่งหมายรวมถึงกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ประสานอำนวยการให้สามารถทำงานร่วมกันได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า การจัดทำบัญชีรายชื่อมีการล้วงลูกจากนักการเมืองหรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติกล่าวยืนยันว่า ไม่มี และขอร้องว่าอย่าใช้คำว่า "ล้วงลูก" เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้เกียรติกองทัพ และมองว่าผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกคนเดินทางมาจนถึงวันนี้ก็เป็นระยะเวลา 40 ปีแล้ว ซึ่งทุกคนอยู่ใกล้ชิดกับผู้ใต้บังคับบัญชา รู้จักกันและรู้ว่าใครจะทำงานในหน้าที่ไหน ทุกคนคิดเหมือนกัน คือ อยากให้กองทัพเข้มแข็ง แข็งแกร่ง และสามารถเป็นพลังของประเทศชาติ เป็นพลังของรัฐในการปกป้องอธิปไตย และเป็นกองทัพของประชาชน อย่าไปกังวลเรื่องนี้ มีเรื่องอื่นให้กังวลอีกมาก ยืนยันว่ากองทัพมั่นคง
วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ทักษิณ ชินวัตร : บทให้สัมภาษณ์นิตยสารไทมส์
เดอะไทมส์
ริชาร์ด ลอยด์ แพรี่ : ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้วใช่มั๊ยครับสำหรับคุณทักษิณ นับตั้งแต่การเลือกตั้งสิ้นสุดลง (ด้วยชัยชนะของน้องสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)
(Q)คุณทักษิณคาดหวังอะไรไว้กับประเทศไทย
(Q)ตอนนี้ถ้าจะพูดว่า คุณทักษิณได้กลับมาแล้วในฐานะนักการเมืองและผู้นำ ถูกต้องใช่มั๊ยครับ?
(Q)หมายถึงอะไรครับในทางปฏิบัติ
(Q)ตอนที่คนไปเลือกตั้งกันเขาไปเลือกคุณทักษิณใช่มั๊ยครับ
(Q)แต่ว่านี่เป็นคะแนนเสียงเลือกตั้งที่เขาสนับสนุนคุณทักษิณนะ
(Q)คุณทักษิณคงอดทนรอไม่ไหวที่จะกลับประเทศไทย
(Q)โดยในหลักการแล้ว ตอนนี้ใครเป็นศัตรูคุณทักษิณ
(Q)คุณทักษิณถูกตัดสินโทษจำคุก 2 ปี
(Q)และก็เป็นเหตุผลด้วยใช่มั๊ยว่าคุณยังไม่กลับประเทศไทยตอนนี้
(Q)คุณทักษิณจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ
(Q)คุณทักษิณหวังการอภัยโทษมั๊ยครับ
(Q)เมื่อไรคุณทักษิณจะกลับไปเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
(Q)แต่ในเอเชีย อายุ 62 นี่ยังเป็นผู้นำที่หนุ่มมากนะครับ
(Q)แล้วถ้าเกิดว่าน้องสาวคุณพูดว่า “กรุณารับไป” คุณทักษิณจะตกลงมั๊ย
(Q)ถ้าประชาชนขอร้อง คุณทักษิณเป็นนายกอีกครั้งนะ
(Q)คุณทักษิณรู้ได้ยังไงว่าประชาชนอยากให้คุณเป็นนายกอีกครั้ง
(Q)เอาตามความเป็นจริง เมื่อไรที่คุณทักษิณจะสามารถกลับประเทศไทยได้
(Q)ในเดือนธันวาคมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีพระชนมายุครบ 84 พรรษา และเป็นวันสำคัญมาก ในโอกาสนี้ คุณทักษิณจะเข้าถวายพระพรแบบส่วนตัวหรือไม่
(Q)ในเดือนธันวาคมเอาตามความเป็นจริงนะ เป็นช่วงที่เหมาะที่สุดที่คุณทักษิณจะกลับประเทศใช่หรือไม่
(Q)ใครที่คุณทักษิณใกล้ชิดที่สุดในกองทัพ
(Q)แล้วคนในกองทัพอยู่ตรงข้ามคุณรึป่าว
(Q)ตอนนี้มีใครในกองทัพมั๊ยที่เข้าใจในตัวคุณ
(Q)คนเหล่านั้นรับใช้ผู้บัญชาการในกองทัพใช่หรือไม่
(Q)แล้วเมื่อครั้งที่คุณทักษิณได้พูดคุยกับพวกเขา คุณพูดเรื่องอะไรกัน
(Q)ผู้อาวุโสในกองทัพเขาหนุนให้คุณทักษิณกลับประเทศมั๊ย
(Q)คุณทักษิณบอกได้มั๊ยว่าใครในกองทัพที่ใกล้ชิดและติดต่อกันอยู่
(Q)พล.อ.ประยุทธ์ (ผู้บัญชาการกองทัพบก) เขาเปิดเผยแล้วว่า ไม่ได้ชอบคุณ นี่จะเป็นปัญหาต่อประเทศไทยมั๊ย
(Q)อย่างนั้นก็แสดงว่าท่านพลเอกประยุทธ์เป็นคนหัวสมัยเก่า มีทัศนคติก้าวร้าว ล่ะสิ
(Q)ท่านถูกสอนให้ใช้อาวุธปราบปรามประชาชนอย่างนั้นน่ะเหรอ
(Q)อย่างนั้นท่านก็ต้องรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 53
(Q)พล.อ.ประยุทธ์ต้องรับผิดชอบอย่างนั้นเลยเหรอ
(Q)พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องถูกนำตัวมาอธิบายเรื่องนี้ให้ได้ ใช่มั๊ยครับ
(Q)คุณทักษิณกำลังหมายความว่า พวกนั้นมีความผิดฐานอาชญากรรม
(Q)แล้วประเทศไทยจะสร้างสมดุลระหว่างความยุติธรรมกับความปรองดองได้อย่างไร
(Q)อย่างไหนสำคัญกว่า
(Q)พล.อ.ประยุทธ์ ควรได้รับโอกาสให้กลับมาทำงานอีกครั้งมั๊ย
(Q)แล้วถ้ามีการพิสูจน์แล้วว่าท่านประยุทธ์สั่งให้ยิงคนเสื้อแดง อะไรจะเกิดขึ้น
(Q)คุณทักษิณจะสร้างองคมนตรีใหม่มั๊ย
(Q)แล้วถ้าคุณทักษิณได้มีโอกาสเข้าใกล้หละ คุณไม่สนใจเหรอ
(Q)ใกล้จะถึงวันครบรอบ 5 ปีรัฐประหาร 19 กันยายน ในวันนั้นคุณทักษิณจะทำอะไร
(Q)คุณทักษิณเข้าใกล้(เงินที่ถูกอายัด)ไว้แล้วหรือยัง หลังจากน้องสาวเป็นนายกรัฐมนตรี
(Q)มีแผนไปอังกฤษมั๊ย
(Q)ไปเมื่อไร
(Q)มีตารางเวลาออกมาแล้วหรือยัง-อาจจะเป็นไปดูนัดชิง เอฟเอ คัพ ก็ได้
(Q)ถ้าไม่เกี่ยวกับการเมือง ตอนนี้คุณทักษิณทำธุรกิจอะไร
(Q)คุณทักษิณมีทรัพย์สินเท่าไรที่อยู่นอกประเทศไทย
(Q)ตอนที่ผมสัมภาษณ์คุณทักษิณในปี 2552 คุณทักษิณบอกว่ามี 100 ล้านดอลลาร์
|
| ||||||
วัน - เวลา 2011-08-27 12:01:08 |
*กล่องดวงใจของทักษิณและ นปช.*
*ลัทธิสีแดง : ลัทธิแห่งการล่อลวง***
*กล่องดวงใจของทักษิณและ นปช.***
บทความนี้สำคัญมากเขียนโดยนักวิชาการชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่ง
ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย
Yoshikuni Kumiko
Jong Hoon Jae
* ลัทธิสีแดง : ลัทธิแห่งการล่อลวง***
* กล่อง ดวงใจของทักษิณและ นปช.***
เมื่อทักษิณเตรียมจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เพื่อเตรียมเป็นนายกทักษิณได้จ้าง
คนเขียนหนังสือเรื่อง "ตาดูดาว เท้าติดดิน" แล้วลงพิมพ์ในมติชนยาวต่อเนื่อง
หนังสือ เล่มนั้นทำให้คนเกิดความเชื่อว่าทักษิณรวยแล้ว อยากช่วยชาติ
จะไม่โกงกินจาก นั้นทักษิณไปใช้พวกอดีตคอมมิวนิสต์ซึ่งเก่งในการหาความนิยมจาก
คน ยากจนและ คนชนบทมาช่วยคิดหาวิธีจะเอาคะแนนเสียงจากคนเหล่านี้ ซึ่งก็ได้นโยบาย แนวสังคมนิยมมา เรารู้จักกันต่อมาว่าเป็นนโยบายประชานิยม
ทักษิณบอกว่าจะเป็นรัฐบาลที่พูดความจริงกับประชาชน จะไม่โกหก
นโยบายและการบริหารหลายอย่างของทักษิณได้ผล คนจนได้จับ
เม็ดเงินจริงๆ ยิ่งเชื่อใหญ่ ทั้งในเรื่องความรู้ ความสามารถและความดี
ดีไปหมด เก่งไปหมด เมื่อ เหตุการณ์ผ่านไป
เราจึงได้เห็นธาตุแท้ของทักษิณกัน แต่คนที่หลงเชื่อและนิยมชมชอบทักษิณมองไม่เห็น
ทุกวันนี้ก็ยังไม่เห็น เพราะรักเขาแล้ว เชื่อเขาแล้ว เชื่อเขาหมด
ความสามารถของทักษิณอยู่ตรงที่ทำให้คนเชื่อได้จำนวนมาก
เงินนั้นใช้ในการควบคุมบังคับข้อมูลข่าวสารเป็นสำคัญสิ่ง ที่ ทักษิณทำ พวกเราเห็นอยู่แล้ว
ได้แก่การตั้งกลุ่มเสื้อแดงขึ้นมาที แรก เป็นแค่ไว้ต้านพันธมิตร แต่เมื่อเจอการโจมตีเปิดโปงของพันธมิตร
เสื้อ แดง ก็แปรรูป ซึ่งเป็นการแปรรูปที่แยบยลมากคือการจัดตั้งเวทีใช้ชื่อว่า
" ความ จริงวันนี้" เอาคู่กับสัญลักษณ์สีแดงการตั้งรายการ "ความจริงวันนี้" คือการเริ่มต้นทำ
" สงครามข้อมูลข่าวสาร"( information warfare) เริ่มจากการอภิปรายของแกนนำ สามเกลอ
วีระ จตุพร ณัฐวุฒิ ฯลฯ
รายการ "ความจริงวันนี้" เริ่มให้ความเท็จตั้งแต่วันแรก และต่อเนื่องตลอดมา
เรา มักนึกถึงเงินของทักษิณ คิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทักษิณมีฤทธิ์
แต่ ฤทธิ์ของทักษิณจริงๆ มีที่มาจากความสามารถในการโกหก
ซึ่งเป็นสิ่งที่ ทักษิณเก่งมาก มีทักษะสูงมาก เพราะฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ
เป็นคนโกงที่โกหก เก่งที่สุด ใครที่เคยคุยกับทักษิณ หรือฟังทักษิณพูด
จะรู้ดีว่าได้เคลิบ เคลิ้มไปแค่ไหนไม่ว่าจะมีการศึกษาระดับไหนก็ต้องเคยเคลิ้มกันมาแล้วทั้งนั้น
นับประสา อะไรกับมวลชนของคนเสื้อแดง กว่าจะรู้ตัวก็สายกันแล้ว จะอย่างไรก็ตาม
ตอน นี้พวกเรารู้ตัวแล้ว แต่ยังมีคนที่ไม่รู้ตัวอีกมากมายต้องช่วยให้เขา เห็นความจริงและรู้ตัวว่า
ถูกหลอกลวงอย่างไรทักษิณจึงจะหมดฤทธิ์จริงๆ
เมษาเลือดของทักษิณจึง ทำให้ทักษิณแพ้ไป นั่นคือ CNN จับโกหกทักษิณได้
ต่อหน้าคนทั้งโลกที่ดู CNN อยู่
* เห็นหรือยังว่า แพ้ชนะ ยุคนี้ อยู่ที่สงครามข่าวสาร***
แล้วใช้สิ่งที่ลงทุนไปทำงานอะไรให้ทักษิณมากที่สุดทักษิณให้เงินแกนนำ นปช.
แน่นอน ให้เงิน ส.ส.เพื่อไทย แน่นอนให้เงินหัวคะแนนแน่นอน
ต้อง จ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการจัดชุมนุม อภิปราย ทั้งค่าเดินทาง ค่าอาหาร
ค่าเวที ฯลฯ แน่นอน แต่ที่จ่ายมากที่สุด คือการสร้างเครื่องมือในการทำสงครามข่าวสาร
ทักษิณลงทุนอะไรอีกบ้าง หลังสงกรานต์เลือด ? ตั้ง PTV ออกอากาศผ่านดาวเทียม
และ ออกผ่านเว็บไซท์ เว็บ ไซท์ เสื้อแดง มีเยอะมาก ทักษิณสร้างทีมเรียกว่า นักรบไซเบอร์ ช่วยกันเผยแพร่ความเท็จลองสำรวจดูว่ามีทั้งหมดกี่ เว็บไซท์ ทั้งที่ใช้ เซิร์ฟเวอร์ ในประเทศ
และต่างประเทศ วิทยุชุมชน หนังสือพิมพ์และวารสารแดง สร้างคนหลงลมลวงได้มหาศาล
หนังสือเล่ม แบบ Where are you? ของหมวดเจี๊ยบ แกก็ไปหาทักษิณรับเงินมาเหมือนกัน
นอกจาก นี้ยังมี
Hi 5, Facebook, Twitter สื่อในต่างประเทศ บริษัท Lobbyist
ในอเมริกาไปตรวจสอบดูก็จะรู้ว่าบริษัทอะไร ช่วยนัดสื่อระดับโลกไป สัมภาษณ์ทักษิณ
สร้าง ทั้งความน่าเชื่อถือ และการเอาความเท็จให้กับต่างชาติ ทำ ให้คนในเมืองไทยเชื่อสนิทหนักเข้าไปอีกเห็นไหมว่าฝรั่งยังเชื่อถือ รัฐบาลต่างชาติก็หลงลมไป
หลายชาตินึกว่าเก่งเศรษฐกิจ เชิญให้เป็นที่ปรึกษา ฮุน เซนก็หลงลม แล้วก็ยังมีบริษัทหรือมูลนิธิอะไร
ที่ฮ่องกงชื่อ
Sam Hui ก็เป็น lobbyist ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ความเก่งกาจให้ทักษิณด้วย
นักการ เมือง/นักวิชาการ พวกบ้านเลขที่ 111 และนักวิชาการพวกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
พวก นี้ก็เสื้อแดงทั้งนั้นการพูดของคนพวกนี้ก็สร้างความน่าเชื่อถือให้ทักษิณมากขึ้น
ฝึกแกนนำเพิ่มเติมเอาความเท็จบรรจุลงในหลัก สูตร แล้ววางระบบการควบคุมสั่งการ ติดต่อสื่อสาร
จ่ายเงินและหาเหยื่อเพิ่มเสร็จสรรพ ศึกษาต่อไปอาจจะเจอเครื่องมืออื่นๆ อีก
แต่เท่าที่จำแนกให้ดูนี้ก็น่าจะพอแก่การประเมินได้แล้วว่า
เครื่องมือของ การโฆษณาชวนเชื่อของทักษิณนั้น มหาศาลขนาดไหน
และประสิทธิภาพสูงขนาดไหนและ พอจะประมาณได้หรือยังว่า ทักษิณ ทุ่มทุนลงไปขนาดไหน
จริงอยู่ทำทั้งหมด นี้ต้องใช้เงิน แต่ขอให้เห็นประเด็นให้ชัดว่า
เงินไม่ใช่ตัวความสามารถ หลัก เงินถูกนำไปสร้างความสามารถในการหลอกลวงต่างหาก
แล้วเมื่อหลอกคน สำเร็จ จะใช้ให้คนทำอะไรให้ก็ได้ พูดขาวให้เป็นดำก็ได้
จะบอกว่าใครเลวก็ได้ สังเกต ต่อไปจะเห็นว่าปีที่ผ่านมา ทักษิณทดลองเครื่องมือของสงคราม
(war mechanism) โดย ลองทำ clip เสียงอภิสิทธิ์ ตัดต่อดื้อๆ
ให้เหมือนกับสั่งให้ฆ่าผู้ชุมนุม แล้วปล่อยให้หลุดออกไป
สังเกตดูจะเห็น การทำงานของกลไกสงครามของทักษิณ ชัดเจน
แกนนำเอาไปพูดในที่ชุมนุม ส.ส.เพื่อ ไทยเอาไปพูดในสภา สื่อของทักษิณทุกสื่อเอาออกเผยแพร่ ความเท็จ
100% ก็ ยังสามารถทำให้คน จำนวนมากหลงเชื่อได้ ปีที่แล้วทั้งปี ทักษิณ phone in ไปทุกจังหวัดที่จัดการชุมนุม
เพื่อสร้างภาพและความเข้าใจ และความเชื่อของคนทุกจังหวัดให้ตรงกัน ในประเด็นที่คิดมาอย่างดีแล้ว เช่น
อำมาตยาธิปไตย รัฐบาลทหารตั้งสองมาตรฐาน สู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้ จริง ทักษิณถูกรังแก
ทักษิณเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยช่วยกันทำ ประชาธิปไตยที่แท้จริงไว้ให้ลูกหลาน
หลอกลวงคนทั้งประเทศให้เชื่อว่า การออกมาเคลื่อนไหวนั้นเป็นการกระทำไปเพื่อชาติ
เป็นการกระทำที่รักชาติ เสียสละเพื่อชาติ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของทักษิณ
ปีนี้จึงไม่แปลกว่า เมื่อเครื่องมือพร้อมแล้ว ทักษิณก็ลงมืออีกอย่างที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้
ถ้า เอาเทป video หรือ phone link ของทักษิณมาดู ฟังไปจะพบว่า ทุกครั้งที่พูด
ทักษิณ จะเน้นว่า ตัวเองและเสื้อแดงพูดความจริง และรัฐบาลพูดเท็จ เพื่อย้ำการหลอกลวงไม่ให้พลาดจาก นั้นแกนนำก็จะย้ำตามต่อไป
คนฟังก็จะเคลิ้ม นึกว่ากำลังฟังความจริงที่ถูกปกปิดอยู่
* ถ้าเช่นนั้น ขบวนการทั้งหมดของทักษิณ มีลักษณะเป็นอะไร***
คำตอบคือ เป็นลัทธินิกายชนิดหนึ่ง ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า
Cult
เหมือนกับโอมชินริ เคียว ที่วางยาพิษคนที่สถานีรถใต้ตินที่ญี่ปุ่น หรือ
James Jones ที่ หลอกให้สาวกฆ่าตัวตายจำนวนมาก โดยมีทักษิณ เป็นศาสดา มีแกนนำอย่างจตุพร สาม เกลอ และพวก ส.ส.ทั้งหลาย เป็นสมุนรับใช้ และราษฎร คนเสื้อแดงเป็นเหยื่อเพียง แต่ทักษิณ เป็น Cult
ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลกเท่านั้น
ความสามารถของ Cult ทั้งหลาย คือความสามารถในการที่ทำให้สาวกเชื่อสนิท
ถึง ขั้นสั่งให้ ทำอะไรก็ได้ บางแห่งถึงกับให้ฆ่าตัวตายก็ยังทำตามทักษิณอาจยังไม่ถึง ขั้นทำให้คนฆ่าตัวตายได้ แต่ทักษิณหาสาวกได้มากกว่า cult อื่นๆ แน่
ดู ลุงคนที่ขโมยเงินเมียมา
20,000 บาท แล้วเดินทางมากรุงเทพฯ คนเดียว
เตรียม ขี้วัวมาเสร็จ แล้วไปที่บ้านอภิสิทธิ์ แล้วขว้างขี้ใส่โดยไม่ต้องมีใครสั่งเลย
ก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพของการหลอกลวงของทักษิณ ได้ชัดเจน
ถ้าจะมีคนยอมตายเพื่อทักษิณก็ไม่น่าจะเกินวิสัย และเรื่องนี้จะน่ากลัวเพราะอาจให้คนเผาตัวประท้วง
หรือบุกเข้าทำร้ายเจ้า หน้าที่ จนต้องปะทะกัน เป็นต้น
*เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว มองเห็นกล่องดวงใจของทักษิณแล้วหรือยัง***
จะฆ่าทศกัณฐ์ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกล่องยิงธนูใส่เอาดาบฟัน ก็ไม่ตาย
ต้องไปหากล่องดวงใจให้เจอ พอเจอแล้วแทง ทศกัณฐ์จึงจะตาย ทักษิณก็เหมือนกัน
ความสามารถในการหลอกลวงของทักษิณ คือกล่องดวงใจของทักษิณ
ถ้าทำลายความสามารถนี้ได้ ทักษิณก็จะหมดฤทธิ์ อย่าทำให้แกตายแบบเสียชีวิต
แต่ควรให้แกมีชีวิตอยู่ และทำให้คนที่ถูกแกหลอกลวงได้ตาสว่าง
เพื่อให้มองเห็นว่าถูกทักษิณหลอกมาอย่างไร และกำลังหลอกให้ทำอะไรอยู่
เมื่อเหยื่อตาสว่าง ก็จะมองเห็นธาตุแท้ของทักษิณ
แล้วให้ทักษิณรับกรรมจากคนที่ตัวเองล่อลวงไว้นั้น แกสมควรจะได้รับสิ่งที่ทำลงไป
การทำลายความสามารถในการหลอกลวงของทักษิณ
ทำได้ด้วยการพิสูจน์อย่างไม่มีข้อสงสัยในเรื่องที่ทักษิณกับสมุน โกหกหลอกลวง
คนเสื้อแดง ต้องใช้ความจริงเท่านั้นในการพิสูจน์ ต้องไม่ใส่ร้าย
และต้องไม่ใช้เรื่องที่ยังไม่ชัดเจน เอาเฉพาะเรื่องที่แกโกหกหลอกลวงอย่างแน่นอน
ก็มีหลายร้อยเรื่องแล้ว
ประเด็นอยู่ที่การชี้ให้เห็นว่า ทักษิณนั้น หลอกลวงคนที่รักทักษิณนั้นเอง
และอธิบายให้เห็นว่า หลอกอย่างไร แล้วทักษิณจะได้อะไรจากการที่คนเชื่อ
เราต้องไม่หลงประเด็น หลายอย่างที่ทักษิณทำตอนเป็นนายก แล้วราษฎรได้ประโยชน์
ต้องยอมรับว่ามีอยู่ แต่ต้องชี้ให้เห็นว่า ส่วนที่ทำชั่วมีอะไรบ้าง
และที่ทำดีนั้น ทำได้อย่างไร เพื่อให้ได้อะไรในที่สุด ส่วนที่โกหกหลอกลวงอยู่ตรงไหน
*ตัวอย่างการล่อลวงของทักษิณและแกนนำ นปช.***
*ประเด็นอำมาตยาธิปไตย***
เรื่องนี้เป็นเท็จอย่างไร ลองพิจารณาดู
คำนี้ในตำรารัฐศาสตร์ไม่มี ถ้าในภาษาอังกฤษอาจเทียบได้ 2 คำ คือ Aristocracy กับ
Oligarchy ซึ่งหมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่มีอภิสิทธิ์หน่อย เป็นผู้ปกครอง แต่ความหมายตามนัยของทักษิณคงหมายถึง....... หรือ พลเอกเปรม ว่ามีอิทธิพลครอบงำรัฐบาลและข้าราชการต่างๆ ทั้งที่ไม่ควรมีใครมีอำนาจอย่างนี้
คำว่าอำมาตยาธิปไตย ประดิษฐ์ขึ้นโดยจักรภพ แล้วทักษิณรับมาใช้ ให้ นปช.ขยายต่อ
จนคนนึกว่ามีอยู่จริงๆ
ทักษิณเรียกร้องให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แล้วแก้กฎหมายให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
หรือ บริหารให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หรือที่เรียกร้องมาตลอดคือจะเอารัฐธรรมนูญ 2540มาใช้ ก็รัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ใช่หรือที่ใช้อยู่ตอนที่ทักษิณบอกว่า อำมาตย์สั่งทหารให้โค่นทักษิณ
ดังนั้นถึงใช้รัฐธรรมนูญ 2540 ก็ไม่สามารถป้องกันอำมาตย์ได้ เห็นๆอยู่
การเรียกร้องเอารัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้ จึงเป็นการหลอกลวง ที่ต้องการจริงๆ
จะเกี่ยวกับการให้ทักษิณพ้นผิด และการโกงง่ายกว่ารัฐธรรมนูญปัจจุบันต่างหาก
รัฐธรรมนูญของไทยไม่ว่าฉบับไหนไม่มีเขียนให้อำนาจอำมาตย์ไว้
ความ จริงการที่ใครสักคนสามารถสั่งการหรือแนะนำคนให้ทำตามที่ตัวแนะนำได้โดยไม่ ต้องมีอำนาจตามกฎหมายรองรับนั้นเรียกว่าบารมี แต่จะเกิดขึ้นได้เพราะคนที่เชื่อฟังเขาให้ความเคารพนับถือเท่านั้น ถ้าพลเอกเปรม ได้รับความเชื่อถือจากนักการเมืองและข้าราชการ
จะเอากฎหมายอะไรไปห้ามไม่ให้เขาเชื่อถือ จะสั่งอย่างไรไม่ให้พลเอกเปรม
ไปพูดจากับคนอื่น มันเป็นสิทธิเสรีภาพของเขา ดังนั้น การแก้รัฐธรรมนูญจึงไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้
การออกมาชุมนุมเรียกร้องจึงเป็นการหลอกลวงแท้ๆ
เมื่อ phone in 2-3 วันมานี้ ทักษิณอ้างว่าต้องการแก้ระบบ
ไม่ได้เจาะจงอำมาตย์คนไหน ถ้าอย่างนั้น ระบบอำมาตยาธิปไตย หมายความว่าอย่างไร
หมายความถึงการที่อำมาตย์ ซึ่งเป็นผู้มีบารมีที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ
ไปบอกให้รัฐบาลหรือข้าราชการทำอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ตัวต้องการใช่หรือไม่
ถ้าใช่ ฐานะปัจจุบันของทักษิณก็เป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ที่กำลังสั่งการให้
สส.เพื่อไทย ทำตามที่ตัวเองต้องการอยู่
ก็ต้องเป็นระบบอำมาตยาธิปไตยที่ตัวเองกำลังต่อต้านเหมือนกัน ใช่หรือไม่
นี่ก็แสดงถึงความเท็จที่ทักษิณกำลังหลอกลวงคนอยู่ ชัดเจน
......................................
*สองมาตรฐาน***
เรื่องนี้ทักษิณเอามาพูดหลายตัวอย่างมาก แต่เอาที่จตุพรพูดกับอภิสิทธิ์ตอนเจรจากันออกทีวี
ซึ่ง จตุพรบอกว่ารัฐบาลนี้ได้รับการสนับสนุนจากทหาร เมื่อสมัครเป็นนายก ออก พรก.ฉุกเฉิน แล้วสั่งให้ทหารสลาย mob พันธมิตร แต่ทหารไม่ทำ พออภิสิทธิ์มาเป็นนายก
ทหารช่วยทำทุกอย่าง เป็นเรื่องสองมาตรฐาน เรื่องนี้เป็นจริงหรือเท็จอย่างไร
ตอน ที่สมัครเป็นนายก พันธมิตรยึดทำเนียบ สมัครประกาศใช้ พรก.แล้วสั่งการให้ดำเนินการกับกลุ่มผู้ชุมนุม แล้วพลเอกอนุพงศ์ นำกำลังเข้ามาแต่ไม่ดำเนินการเพื่อสลายการชุมนุม ถ้าไปดูให้ดีจะเห็นว่า
สมัครไม่ได้สั่งให้ชัดเจนว่าจะให้ทำอะไร อนุพงศ์ก็เลยไม่ทำ
บอกว่าให้สั่งให้ชัดเจน สมัครไม่กล้าสั่ง คงรู้และกลัวจะต้องรับผิดชอบ
ก็เลยกล่าวหาว่าทหารไม่ทำหน้าที่ กลับไปดูสัมภาษณ์และหลักฐานเอกสารดีๆ
จะเห็นชัด
ตอนสมชายยิ่งแล้วใหญ่ สั่งให้ตำรวจสลายการปิดล้อมสภาเมื่อ 7 ตุลา
ตำรวจทำรุนแรงเกิดเจ็บตาย สมชายโยนความผิดให้ตำรวจ บอกว่าตัวไม่ได้สั่ง
บิ๊กจิ๋วสั่ง บิ๊กจิ๋วบอกผมสั่งแต่ไม่ได้สั่งให้ทำแบบนั้น
พัชรวาทย์บอกเขาสั่งข้ามหัวผม สรุปแล้วคนที่รับผิดคือสุชาติ เหมือนแก้ว
ซึ่งเป็น ผบช.น.ในขณะนั้น ถูกดำเนินคดีทั้งทางวินัยและทางอาญา
หลังจากนั้น เมื่อพวกพันธมิตรไปยึดสนามบิน รัฐบาลสมชายประชุม
จะให้ตำรวจไปจัดการสลาย mob จากสนามบิน ตำรวจคือสุชาติ เหมือนแก้ว บอกกับ
ครม.ว่าถ้าจะให้ตำรวจทำต้องสั่งให้ชัดเจน มีผู้รับผิดชอบชัดเจน
ไม่งั้นนักการเมืองไม่ต้องรับผิด ตำรวจต้องรับผิด ครม.สมชายไม่กล้าสั่งเอง
โยนไปให้คณะกรรมการติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคง ซึ่งรัฐบาลตั้งขึ้น มี
ผบ.ทบ.เป็นประธาน และปลัดทุกกระทรวงเป็นกรรมการ ให้เอาไปพิจารณา
โดยต้องการให้กรรมการชุดนี้เสนอแนะให้สลาย mob โดยเสนอวิธีการมาให้เลย
ปรากฎว่าคณะกรรมการชุดนั้นประชุมเสร็จแล้วมีมติว่า รัฐบาลยุบสภาเสียดีกว่า
นายกสมชายกลับจากเปรูคืนนั้นบินไปลงที่เชียงใหม่ พอ 4 ทุ่ม ไม่รู้ว่าปรึกษาใคร
ก็ออกแถลงการณ์สดประกาศว่าไม่ยุบสภา ไม่ลาออก
ทั้งหมดนี่ จะเห็นว่า ความจริงทหารตำรวจไม่ได้ใส่เกียร์ว่างเพราะไม่เต็มใจทำงานให้
หรือ มีใครสั่งไม่ให้ร่วมมือ แต่เป็นเพราะนักการเมืองไม่รับผิดชอบ ต้องการจะให้ข้าราชการประจำปราบ แต่ตัวเองไม่ต้องรับผิด เขาเลยไม่ทำ เพราะทำแล้วจะต้องกลายเป็นคนผิด
มาดูสมัยอภิสิทธิ์บ้าง เมื่ออริสม้นต์นำเสื้อแดงบุกการประชุม Summit
ที่พัทยาจะเห็นว่า ตำรวจและทหารเรืออีกจำนวนมากก็เกียร์ว่างเหมือนกัน เพราะตอนนั้น
ฝ่าย รัฐบาลไม่ได้ออกมาแสดงตัวว่าจะรับผิดชอบหากเกิดอะไรขึ้น วางกำลังไว้แต่กฎการใช้กำลังไม่ชัดเจน คำสั่งให้ปฏิบัติอย่างไร เพียงใด ไม่ชัดเจน เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้
การประชุมก็ล่ม
.....................................
*ถ้าอำมาตย์ค้ำอภิสิทธิ์จริง ตำรวจและทหารก็คงปฏิบัติหน้าที่เข้มแข็งกว่านั้นแน่นอน***
บ่ายวันนั้น อภิสิทธิ์ประกาศใช้ภาวะฉุกเฉิน แต่ mob ก็สลายไปแล้ว
อย่างไรก็ตามคืนวันนั้นรัฐบาลประชุมกับฝ่ายตำรวจและทหาร
อภิสิทธิ์แจ้งชัดเจนว่าการตัดสินใจต่อจากนี้ เป็นการตัดสินใจของรัฐบาล
รัฐบาลเป็นผู้ออกคำสั่ง และจะรับผิดชอบต่อการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ชัดเจน ออกTV ด้วย
หลังจากนั้น ทหารและตำรวจจึงปฏิบัติตามคำสั่ง เอาเทปเหตุการณ์มาดูอีกทีก็จะเห็นชัดเจน
.....................................
*การกล่าวหาว่าอำมาตย์สั่งทหารให้ค้ำอภิสิทธิ์จึงเป็นความเท็จ***
การกล่าวหาว่าทหารและตำรวจใช้สองมาตรฐานต่อคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงจึงเป็นเท็จ
แต่ ถ้าบอกว่าเป็นต่างมาตรฐานหรือไม่ ต้องตอบว่าต่าง เพราะรัฐบาลของนายสมัครและนายสมชาย ไม่กล้ารับผิดจากการสั่งงานของตัว จึงไม่ได้รับความร่วมมือจากทหารตำรวจ แต่รัฐบาล
ของนายอภิสิทธิ์ออกมาพร้อมที่จะรับผิด และได้รับความร่วมมือ มาตรฐานต่างกันตรงนี้ต่างหาก
ความเท็จที่ทักษิณกับสมุนเอาออกมาปั่นหัวประชาชนในเรื่องนี้
ทำให้คนคิดว่ามีความไม่ยุติธรรมจริงๆ จึงพากันออกมาต่อสู้เพื่อความยุติธรรม
เห็นภาพของการล่อลวงชัดเจนหรือยัง เป็นการจงใจสร้างเรื่องเท็จไปล่อลวงเพื่อใช้คนเหล่านั้น
คนที่รักทักษิณ เชื่อในทักษิณ รักประชาธิปไตย รักความเป็นธรรม ให้เป็นเครื่องมือของทักษิณ
หลอกให้เขานึกว่าที่เขาทำตามนั้น เพื่อประชาธิปไตย เพื่อบ้านเมือง
……………………………………………
*ทหารจะปฏิวัติ ต้องออกมาต่อต้านการปฏิวัติ***
เรื่องนี้ทักษิณกับสมุนที่เป็นแกนนำใช้หลอกลวงมวลชนมาตลอด ข้อพิสูจน์ที่เป็นจริงของเรื่องนี้ คือ
ตั้งแต่อภิสิทธิ์มาเป็นนายก ทักษิณและแกนนำ นปช.ก็ปล่อยข่าวลือว่าทหารจะปฏิว้ติมาตลอด
ถ้า เอาที่พูดบนเวที ที่พูดในสภา ที่ออก TV เสื้อแดงมานับดู ก็จะพบว่ามีการหลอกมวลชนของตัวเองว่าทหารจะปฏิวัติมาแล้ว เป็นร้อยๆ ครั้ง เฉพาะจตุพรคนเดียวก็นับไม่ไหวแล้ว และทหารก็ยังไม่ได้ปฏิวัติ
ความจริงทหารที่ถูกกล่าวหา เพราะบางครั้งระบุชื่อเลย เช่นพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา เป็นต้น
น่าจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้กล่าวหา เพื่อทำให้ผู้กล่าวหาต้องออกมาขอโทษต่อสาธารณชน ยอมรับว่าได้โกหก
ถ้าเราทำอย่างนี้ คนก็จะเริ่มเห็นว่า ทักษิณโกหก นปช.โกหก เพื่อจะลวงล่อให้ประชาชนก่อเหตุ
…………………………………………….
*ทักษิณเป็นประชาธิปไตย ทักษิณเป็นสัญลักษณ์ของการถูกทำลาย ถูกรังแก***
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชี้มุมโกหกหลอกลวงของทักษิณยากหน่อย
สำหรับคนมีการศึกษาดีหรือเรียนทางรัฐศาสตร์มาจะเข้าใจง่ายมาก
แต่ คนที่ไม่ได้เรียนมาจะไม่ค่อยเข้าใจ เพราะการใช้รูปแบบของการเมืองที่มีการเลือกตั้งจะทำให้คนเข้าใจว่าการที่ชนะ เลือกตั้งแล้วเข้ามาปกครองประเทศ ก็เป็นไปตามประชาธิปไตยแล้ว
แต่ต้องเข้าใจลึกกว่านั้นนิดหนึ่งว่า การเป็นประชาธิปไตยนั้น
นอกเหนือจากการเลือกตั้งแล้ว จะต้องมีลักษณะอื่นๆ ที่จำเป็นด้วย เช่น
การที่นักการเมืองทำการเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่, การแบ่งแยกอำนาจ,
การตัดสินใจโดยสภา, การมีอิสระของศาล เป็นต้น ซึ่งในประเด็นอื่นๆ
นอกจากการชนะเลือกตั้งมาแล้ว ทักษิณละเมิดหมดเลย นับตั้งแต่รวบอำนาจไว้กับตัว
ซื้อพรรคการเมืองอื่นเข้าร่วม ติดสินบนศาล สั่งการ ส.ว.ได้หมด
แต่งตั้งญาติและเพื่อนเข้าตำแหน่งสำคัญในวงราชการ
งานประมูลทั้งปวงของรัฐให้น้องสาวชื่อเจ๊แดง ชี้เป็นชี้ตายได้หมด ผูกขาดธุรกิจ
ถึงขั้นแก้กฎหมายหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ซึ่งเป็นการรวบอำนาจเด็ดขาดไว้กับตัว
ทำให้สาระของรัฐบาลทักษิณ เป็นรัฐบาล "เผด็จการโดยรัฐสภา" เหมือนกับ Hitler
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งชนะเลือกตั้งมาเหมือนกัน น่าจะเป็นประชาธิปไตย
แต่ต่อมาแกรวบอำนาจจากสภาและทุกอย่างมาไว้ที่ตัว
ซึ่งเราทุกคนก็รู้ดีว่า Hitler คือจอมเผด็จการที่กุมอำนาจทุกด้านในเยอรมันไว้กับตัวทั้งหมด
จนทั้งโลกต้องทำสงครามโลกจึงจะปราบ Hitler ซึ่งชนะเลือกตั้งลงไปได้
ดังนั้นทักษิณ จึงไม่เป็นประชาธิปไตย แต่เป็นสัญลักษณ์ของ "เผด็จการโดยรัฐสภา"
ต่างหาก เป็นตัวอย่างของการฉ้อฉลในระบอบประชาธิปไตย
ส่วนที่ว่าแกถูกทำลายถูกรังแกนั้น ไปดูเอาเองว่าใครรังแกแกอย่างไร
อธิบายให้มวลชนเสื้อแดงที่เมาหมัดฟัง คงไม่ยากนัก
………………………………………..
*นปช.พูดความจริง สื่อถูกบังคับให้บิดเบือน***
เรื่องนี้สำคัญที่สุด เป็นหัวใจของทักษิณและ นปช. เกือบ 100% ของสิ่งที่พูดใน TV
และเวทีของ นปช.ล้วนเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และสามารถเอาเทปมาดู
แล้วทำความจริงเปรียบเทียบเพื่อให้มวลชนคนเสื้อแดงเห็นความจริงได้จำนวนมาก
และ เป็นสิ่งที่เราต้องทำหลังจากการแก้วิกฤตเมษาปี 2553 ไปแล้ว อย่างน้อยๆสักปีสองปี กว่าคนจะตาสว่าง อาจต้องนานกว่านั้นด้วยซ้ำ การโกหกบิดเบือนในเรื่องนี้
ทำให้ดูเหมือนว่าทักษิณพูดความจริง
…………………………………………….....
*อภิสิทธิ์สั่งฆ่าประชาชน***
กรณี Clip เสียงตัดต่อนี้ ได้อธิบายไว้แล้วข้างต้น แต่ยังต้องนำเอาความจริงไปสู่ประชาชนที่ถูกล่อลวงให้เห็นให้ชัดให้ได้
………………………………………………….
*เปรมเป็นคนวางแผนรัฐประหาร***
เรื่องนี้เป็นสาเหตุของการประดิษฐ์ศัพท์ที่เรียกว่าอำมาตยาธิปไตย
ซึ่งเราต้องอธิบายให้ดี ความจริงที่เห็นได้คือพลเอกเปรม ออกมาด่าทักษิณ แน่นอน
ที่เหลือที่พลเอกพัลลภ ไปเล่าให้ทักษิณฟัง ไม่มีใครพิสูจน์อะไรได้
พัลลภพูดอะไรก็ได้ให้ตัวเองได้เงิน แต่ทักษิณเอาไปทึกทักว่าจริง
แล้วเอาไปหลอกมวลชนของตัวเองว่าพลเอกเปรม เป็นคนวางแผนปฏิวัติ ซึ่งไม่แฟร์
การที่พลเอกเปรมพูดแล้วทำให้เกิดการปฏิวัติในเวลาต่อมานั้น
ไม่ได้หมายความว่าพลเอกเปรมวางแผน แต่ความที่เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง
เมื่อด่าทักษิณแล้ว ทำให้การปฏิวัติขับไล่ทักษิณเกิดขึ้นได้
ซึ่งความจริงมองว่าเป็นการฉวยโอกาสของ คมช.ก็ได้
อย่างไรก็ตามความเลวของทักษิณก็สมควรแก่การถูกล้มล้าง
เห็น ได้จากการที่ประชาชนเอาดอกไม้ไปมอบให้ทหารที่ปฏิวัติ แต่ในที่สุดการปฏิวัติของ คมช.กลายเป็นประโยชน์แก่ทักษิณ เพราะเอาไปอ้างได้ว่าตัวเองได้รับเลือกตั้งแล้วถูกล้มล้างจากการรัฐประหาร กลายเป็นความชอบธรรมของทักษิณที่จะเอาไปอ้างได้กับคนไทย และคนที่ออกเสียงเลือกทักษิณมา รวมทั้งไปอ้างกับคนทั่วโลกด้วย
แต่ประเด็นก็คือ การอ้างว่าพลเอกเปรมวางแผนรัฐประหารนั้น
เป็นการกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐาน ไม่เคยมีใครยืนยันได้
มองในมุมหนึ่งก็เป็นศาลเตี้ยที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่เคยมีโอกาสแก้ตัวเลย
แต่การพูดย้ำกันเป็นร้อยๆพันๆ ครั้งโดยทักษิณกับสมุน ก็ทำให้คนหลงเชื่อได้
แต่สิ่งที่ตามมาคือ คนเกลียดพลเอกเปรมทั้งที่ไม่รู้ความจริง
และไม่เป็นธรรมกับพลเอกเปรมที่ได้ประกอบคุณงามความดีมาตลอดชีวิต
มากกว่าทักษิณหลายเท่า และพลเอกเปรมก็ไม่เคยตอบโต้หรืออธิบายหรือแก้ตัวเลย
สังคมไทยเราปล่อยให้คนดีถูกทำร้ายจิตใจโดยไม่ช่วยเหลือเห็นใจกันเลย น่าเศร้า
การอธิบายเรื่องนี้ให้มวลชนเสื้อแดงทราบ
คงต้องใช้วิธีตั้งคำถามให้พวกเขาสำรวจจิตใจของตัวเองอาจจะพอได้
……………………………………….
*ทหารตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์***
อันนี้เป็นข้อกล่าวหาที่แก้ง่ายมาก การที่ทหารสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลนั้น
เกิดขึ้นหลังจากการล้มของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน 2 รัฐบาล
และมีความขัดแย้งสูงในบ้านเมือง เมื่อเปลี่ยนขั้วแล้ว บ้านเมืองสงบขึ้นจริงอยู่ระยะหนึ่ง
ทำให้การที่ฝ่ายทหารสนับสนุนการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลครั้งนั้น
เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อความสงบของบ้านเมืองจริง
หลังจากที่สามารถฟันฝ่าการเผาเมืองของทักษิณเมื่อเมษา 2552 มาได้
ปัจจุบันที่ ทักษิณและ นปช.สามารถล่อลวงคนให้หลงเชื่อได้จำนวนมาก
จึงทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองขึ้นมาอีก และโดยที่รัฐบาลไม่ได้เฉลียวใจระวัง
ป้องกันต่อต้านมาตั้งแต่ต้น ในขณะนี้จึงต้องกลายเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างลำบากอีก
การอธิบายเรื่องนี้ทำได้ไม่ยาก เพียงตั้งคำถามให้กับ นปช.และพรรคเพื่อไทย
ว่าเหตุผลที่ทหารไม่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยเพราะอะไร
เพราะพรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือของทักษิณ เป็นพรรคที่เอาความเท็จไปพูดในสภา
เช่น กรณีกล่าวหาว่าทหารฆ่าคนตายช่วงสงกรานต์ 2552 หรือกรณี clip เสียงที่ทำขึ้นมาใส่ร้ายอภิสิทธิ์ แล้วเอาไปพูดออกอากาศในสภาราวกับเป็นเรื่องจริง
เพราะต้องการสร้างเรื่องใส่ร้ายให้คนเกลียดชังรัฐบาล แล้วจะให้ทหารสนับสนุนได้อย่างไร
ทุกเรื่อง ทักษิณกับสมุน ก็เอาความเท็จไปหลอกลวงมวลชนของตัวเองทั้งนั้น
…………………………………………..
*เศรษฐกิจแย่ลง สู้สมัยทักษิณไม่ได้***
เรื่องนี้ชี้แจงง่ายที่สุด เมื่อวันก่อน รมว.คลังได้แสดงตัวเลขที่ทำให้เห็นว่า
รัฐบาล นี้ มีผลงานเหนือ รัฐบาลทักษิณในทุกหัวข้อ ทั้งที่อยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกและถูกทักษิณเตะตัดขาตลอดเวลา ทักษิณพูดออก วิดีโอลิงค์ ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจแย่ ซึ่งเป็นความเท็จ เพราะเศรษฐกิจกำลังดีขึ้น ความจริงก็คือทักษิณกลัวว่า หากไม่รีบล้มรัฐบาล แล้วเลือกตั้งตอนนี้ คนจะหันไปนิยมรัฐบาลมากขึ้น จึงต้องทำลายทุกวิถีทาง รวมทั้งก่อเรื่อง ให้เศรษฐกิจกระทบกระเทือนด้วย ซึ่งจะเห็นเล่ห์กลของทักษิณอย่างชัดเจน
ที่ยกตัวอย่างมานี้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
เพียงต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า ทักษิณ กับ นปช. และ ส.ส.เพื่อไทย
ร่วมมือกันให้ความเท็จ โดยจงใจ และวางแผนไว้ล่วงหน้า
เพื่อหลอกลวงมวลชนของตัวเองให้ออกมาเคลื่อนไหวและทำตามที่บงการ
แม้จะให้ทำสิ่งที่ผิดกฏหมายก็ตาม
หวังว่าผู้อ่านคงจะเห็นความสำคัญของการช่วยกันเปิดโปงการล่อลวงของทักษิณกับสมุน
ในทุกเรื่องทุกมุม ทุกวงการ ทุกเวที จนกลายเป็นกระแสนำของสังคม
มีคนช่วยกันเปิดโปงเป็นหมื่นๆ คน ร้อยๆ กลุ่ม รัฐบาลทำคนเดียวไม่พอ
แต่รัฐบาลต้องเป็นตัวนำ และผู้คนสนับสนุนช่วยกัน ถ้าทำใน ระดับที่เล็กกว่านี้
อาจจะไม่เพียงพอที่จะรับมือกับภัยคุกคามต่อชาติในครั้งนี้
.........................................
*สรุปส่งท้าย***
สิ่งสำคัญที่เป็นหัวใจของทักษิณกับสมุน คือการล่อลวงที่มีการวางแผนและดำเนินการ
อย่าง เป็นระบบ ซึ่งจะเห็นว่าเรื่องเท็จที่ปั้นแต่งขึ้นมานั้น ได้มีการวางแผนประดิษฐ์ออกแบบมาอย่างรอบคอบ ทำให้เกิดความสำเร็จอย่างที่เห็นกันอยู่
หากเราไม่ทำลายความสามารถในการล่อลวงนี้ เราจะไม่มีวันชนะทักษิณกับสมุนได้อย่างเด็ดขาด
ไม่ว่าเราจะใช้วิธีอื่นใดอีกเท่าไรก็ตาม และความแตกแยกในบ้านเมืองก็จะดำรงอยู่
และอาจจะขยายต่อไปอีก เพราะคนจะไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ
ต่างฝ่ายก็จะเชื่อตามข้อมูลข่าวสารที่ตัวเองเสพอยู่
และเราจะไม่มีวันก้าวล่วงความแตกแยกนี้ไปได้ ต่อให้ทักษิณตายลงไปก็ตาม
ฉะนั้นต้องแก้ไขเสียก่อนที่ทักษิณจะตาย สู้กันซึ่งๆ หน้าให้เห็นชัดว่าใครโกหก
ใครพูดจริง ให้คนค่อยๆ เห็น
จริงอยู่อาจจะยาก และอาจจะต้องใช้เวลานาน
แต่ถ้าไม่เริ่มต้นทำและอดทนทำจนกว่าจะเป็นผลสำเร็จ เราก็สิ้นชาติ
*หลักใหญ่มี 3 ข้อเท่านั้น***
1.เปิดโปงการโกหกให้ ความเท็จของทักษิณกับสมุน
2.ชี้ให้เห็นว่าความเท็จเหล่านั้น ใช้หลอกลวงมวลชนของตัวเอง
3.เราใช้ความจริงที่ พิสูจน์ได้เท่านั้นในการเปิดโปงนี้ และต้องไม่บิดเบือน
ถ้าเราทำสำเร็จ ตัวชี้วัดจะอยู่ที่การทำให้มวลชนคนเสื้อแดงที่ถูกหลอกลวงได้ตาสว่าง
เห็นความจริง แล้วหันไปโกรธแค้นทักษิณกับสมุน เราจะเห็นสภาพนั้นเกิดขึ้นได้ไม่ยาก
และจะทำให้ความแตกแยกของคนในชาติจบลงได้ด้วย
การเปิดโปงความโกหกหลอกลวงของทักษิณและ สมุน เป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้
และต้องทำให้มากเท่าๆ กับที่ทักษิณทำ ไม่เช่นนั้นคนจะหลงเชื่อทักษิณต่อไป
เราจะไม่มีวันแก้ปัญหาได้
ตอนนี้รัฐบาลและคนรู้ทันทักษิณ แทบไม่ได้ทำเลย อย่างมากแค่ด่าๆ ไป
แต่กลุ่มเป้าหมายที่เราต้องพูดด้วยคือมวลชนของคนเสื้อแดง
พี่น้องร่วมชาติของเราที่ตกเป็นเหยื่อของทักษิณ ถ้าเราละทิ้งเขา ไม่ช่วยเขา
เขาก็จะกลายเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ของทักษิณตลอดไป
*ต้องให้ความจริง ปรากฏจนชัดแจ้งต่อคนเสื้อแดงที่เป็นเหยื่อให้ได้***
Yoshikuni Kumiko
Jong Hoon Jae