แกะรอยขบวนการล้มเจ้า 9 กลุ่มตัวการใหญ่ กองทัพสั่งลุย! (ตอนที่1)
แกะรอยขบวนการล้มเจ้า 9 กลุ่มตัวการใหญ่ กองทัพสั่งลุย! (ตอนที่1)
- ขบวนการล้มเจ้านับวันยิ่งเหิมเกริม
- แบ่งเป็น 9 กลุ่มเดินสายทั้งในและต่างประเทศ
- ปลุกระดมมวลชน -รากหญ้า -พระ-ข้าราชการ ประสานพรรคการเมืองสู้
- วันนี้กองทัพสั่งบูรณาการทุกหน่วยทหาร ความมั่นคง กระทรวง ทบวงกรม ขุดรากถอนโค่นพวกล้มเจ้าทุกรูปแบบ
- ขณะที่ภาครัฐ องค์กรต่างๆ เร่งหาแนวทางปลูกฝังอุดมการณ์ให้คนไทยรักชาติ-รักสถาบันฯ เพื่อต้านพวกล้มเจ้าไม่ให้เติบโตได้อีกต่อไป
หลังจากวันเข้ารับตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.คนใหม่ และมีการประกาศชัดเจนว่าจะมีการเอาผิดต่อคนที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายขบวนการล้มเจ้าอย่างเข้มข้นที่สุด ประกอบกับยิ่งใกล้วันเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหากษัตริย์ที่รักยิ่งของคนไทยทั้งปวง ทำให้หลายวันนี้มีการเดินหน้าเอาจริงเอาจังกับขบวนการล้มสถาบันมากขึ้น โดยเฉพาะกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่มีความคืบหน้าด้านการสอบสวนคดีมุ่งร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ออกมาอย่างต่อเนื่อง หรือแม้กระทั่งกระทรวงไอซีทีที่ยอมรับว่ากระบวนการหมิ่นสถาบันผ่านอินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะสังคมออนไลน์เฟชบุคได้ผุดขึ้นมากราวกับดอกเห็ด รวมกับพฤติกรรมล้มเจ้าที่เผยแพร่ผ่านคนหลายกลุ่มวันนี้ทำให้เห็นแล้วว่า “ขบวนการล้มเจ้า”ในประเทศไทยนั้นมีอยู่จริง และวันนี้ได้ขยายขบวนการออกไปอย่างกว้างขวาง แพร่หลาย และอันตรายอย่างยิ่งยวด!
เรามิอาจปฏิเสธว่าในประเทศไทยมีขบวนการล้มเจ้ามา
อย่างยาวนาน โดยเฉพาะในความคิดของคนบางคนในกลุ่มซ้ายเก่า แต่ท้ายที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณ กลายเป็นตัวพ่อของกลุ่มขบวนการนี้โดยมิอาจหลีกเลี่ยงว่าเขาตั้งใจ เต็มใจ แถมเขายังทำให้ยุคนี้เป็นยุคที่ขบวนการล้มเจ้าเฟื่องฟูที่สุด ขยายวงมากที่สุด และมิเกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมืองมากที่สุดจนปฏิเสธไม่ได้แล้ว
ผบ.ทบ.สั่งทุกหน่วย
ทหารปราบพวกล้มเจ้า
แหล่งข่าวด้านความมั่นคง ระบุว่า กลุ่มขบวนการล้มเจ้านั้นมีมานานแล้ว ในกลุ่มพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หรือกลุ่มซ้ายเก่า แต่ก็ได้สูญสลายไปเกือบหมด จนมาถึงสมัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ทั้ง ศูนย์อำนวยการความมั่นคงแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และหน่วยงานความมั่นคง รู้ดีว่าขบวนการล้มสถาบันได้มีการจุดติดความคิดขึ้นมาอีกครั้ง โดยมีกลุ่มซ้ายเก่าได้เข้ามาทำงานใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ และทำให้ขบวนการล้มเจ้าเติบโตและเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคนใกล้ชิดที่ล้วนแต่ส่อเจตนามิบังควรหลายครั้งหลายหน โดยมิได้หวั่นเกรงผู้ใด ทำให้สังคมไทยหลายภาคส่วนได้ขนานนาม พ.ต.ท.ทักษิณว่าเป็น “ล้มเจ้าตัวพ่อ”
โดยดีเอสไอกับศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) นั้น หลังจากได้ทำการจับกุม คนในขบวนการนี้หลายๆส่วนและสอบสวน จึงพบว่าขบวนการนี้มีความน่ากลัว และน่าหนักใจอย่างมาก เพราะขยายวงไปอย่างกว้างขวาง และลงลึกในระดับชุมชนย่อยในต่างจังหวัด
ดังนั้น เมื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ารับตำแหน่ง ผบ.ทบ.จึงได้สั่งการให้มีการบูรณาการหน่วยงานตรวจสอบจับกุมด้านความมั่นคงทั้งหมด ทุกหน่วยงานดินหน้ากำจัดขบวนการล้มเจ้าอย่างเต็มที่
แหล่งข่าวความมั่นคงคนเดิม ย้ำว่า ขณะนี้ทั้งศอฉ.ทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ และหน่วยงานของทหารทุกหน่วย ได้มีการบูรณาการการทำงานด้านการจับกุมขบวนการล้มเจ้าทั้งขบวนการ โดยทำงานอย่างเชื่อมโยงทุกภาคส่วน ทั้งนี้ยอมรับว่า ความเอาจริงของพลเอกประยุทธ์นั้น ยิ่งทำให้ขณะนี้ทั้งหน่วยงานพิเศษ และหน่วยงานความมั่นคงต่างเดินหน้าจับกุมขบวนการล้มเจ้าอย่างเข้มข้นที่สุดในทุกยุค
“สมัยอดีต ผบ.ทบ.หลายหน่วยงานต่างคนต่างทำงาน ใครจะออกมาพูดอะไรผ่านสื่อก็ไม่ได้ระมัดระวัง แต่ตอนนี้ไม่ได้เลย ท่านประยุทธ์ท่านเอาจริง เข้มมาก หน่วยข่าวทุกส่วนรับนโยบายทั้งหมดมารายงานข่าวด้านความมั่นคงทุกระยะ หน่วยงานทุกข่าว ทั้งบก.กองทัพภาค 1-4ทำงานแบบรวมศูนย์ ทั้งหมดจึงขึ้นตรงโดยปริยาย ต้องทำงานหนัก และให้เรื่องปราบพวกล้มเจ้าที่ดำเนินการอยู่เป็นเรื่องลับที่สุด ทำให้ทหารมั่นใจว่าจะจัดการกับขบวนการล้มเจ้าได้ดีกว่ายุคไหนๆ”
เช่นเดียวกับตำรวจสายวัง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ก็มีข่าวแว่วๆว่าเอาจริงเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ฝ่ากระแสตำรวจมะเขือเทศเต็มเมือง
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาล จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที เปิดเผยว่า รัฐบาลมีจุดยืนในการทำเรื่องนี้ โดยการยึดหลักการกฎหมาย โดยเฉพาะผู้ทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นหลัก ดังนั้น จะใช้รูปแบบการจับกุมดำเนินคดี แบบการสอบสวน และหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงใคร ก็จะสืบสวนต่อ โดยจะเน้นสาวไปให้ถึงผู้บงการตัวจริง ทั้งด้านการเงิน และความคิด
“รัฐบาลจะไม่ใช้กฎหมายมาเอาผิดรายตัว เนื่องจากคนๆนั้นมีความเป็นปรปักษ์ทางการเมืองของรัฐบาล แต่จะสืบจากหลักฐานโยงใยไปถึงใครก็จะดำเนินการตามกฎหมายทันที โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้สนับสนุนทางการเงิน และความคิด ถ้ามีหลักฐานก็จะดำเนินการทางกฎหมายหมด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม และจะสาวไปให้ลึกที่สุด”
อย่างไรก็ดี ผู้จัดการ 360 องศารายสัปดาห์ ได้รวบรวมข้อมูลจาก ศอฉ. ดีเอสไอ หน่วยงานด้านความมั่นคง และจากการสัมภาษณ์ สรุปให้เห็นขบวนการล้มเจ้าที่หน่วยความมั่นคงเน้นย้ำมีด้วยกัน 9 กลุ่ม ดังนี้
แผนจัดการทักษิณ
“ล้มเจ้าตัวพ่อ”
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ชื่อว่าเป็น “ตัวพ่อ” ของขบวนการล้มเจ้าโดยแสดงพฤติกรรมที่ไม่บังควรและไม่เหมาะสมหลายครั้ง
“ผมไม่คิดว่าคุณทักษิณ จะคิดเรื่องนี้ตั้งแต่แรก แต่มาคิดตอนที่มีอำนาจแล้ว เพราะมีหลายเรื่องที่อำนาจการเป็นนายกทำไม่ได้ หลายๆ เรื่องเป็นเรื่องที่ผิดกฎผิดระเบียบ แล้วไม่ได้มีการอนุมัติลงมา แต่เขาคิดว่าน่าจะสามารถทำได้ทุกอย่างในประเทศไทย ตรงนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้น” แหล่งข่าวด้านความมั่นคง กล่าวพร้อมระบุว่า เมื่อรวมแรงยุจากกลุ่มซ้ายเก่า ที่ยังมีแนวคิดนิยมระบอบคอมมิวนิสต์และไม่เอาเจ้า ทำให้คนกลุ่มนี้มีการไปหนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ให้มีความคิดมิบังควรดังกล่าว และกระทำการมิบังควรหลายครั้ง
กรณีตัวอย่าง การใช้งบประมาณแผ่นดินในการซื้อเครื่องบิน แอร์บัส เอ 319 ACJ หรือ“ไทยคู่ฟ้า” เพื่อมาใช้ประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี, การจัดให้ประชาชนถือธง “ทรงพระเจริญ”ต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปพบประชาชนที่เทศบาลเมืองปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 9 มี.ค.49และพบอีกหลายครั้งในการเดินสายพบประชาชนในภาคเหนือและอีสานของ พ.ต.ท.ทักษิณฯลฯ
อีกทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีคำพูดที่บังอาจ จาบจ้วง และเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในที่สาธารณะหลายครั้ง ตั้งแต่
“เอะอะก็หาว่าผมไม่จงรักภักดี ปัดโธ่ ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดี” (25 ธ.ค.48 ในงานนายกฯพบแท็กซี่ฯ)
“ยกเว้นพระเจ้าอยู่หัวกระซิบข้างหูว่าทักษิณลาออกเถอะเท่านั้นจะกราบพระบาทลาออกแน่นอน” (4 ก.พ.49 ในรายการนายกฯทักษิณคุยกับประชาชน”
“ผมเป็นนายกฯพระราชทานอยู่แล้ว ถ้าผมได้รับการเลือกตั้ง พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดเกล้าฯให้ผมเป็นนายกฯอยู่แล้ว (24 มี.ค.49 ระหว่างหาเสียงที่ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุดรธานี)
“ไม่มีใครที่จะเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอก นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา” (1 พ.ย.51)
ที่สำคัญหลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้หนีคดีออกไปอยู่ต่างประเทศแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังให้สัมภาษณ์กับ “ไฟแนลเชี่ยลไทม์” ในทำนองว่าพระเจ้าอยู่หัวฯทรงรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับรัฐประหาร 19 ก.ย.49 เช่นเดียวกับการให้สัมภาษณ์ “เดอะ ไทมส์”สื่อประเทศอังกฤษที่เข้าข่ายลักษณะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
อย่างไรก็ดี จุดเริ่มต้นของการถูกกล่าวหาล้มเจ้า โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเต็มๆ น่าจะเป็นกรณี “ปฏิญญาฟินแลนด์” หรือการเดินทางไปประเทศฟินแลนด์ที่มีกลยุทธ์ 5 ประการนำไปสู่เป้าหมาย คือ
1.สร้างระบบการเมืองพรรคเดียว 2.ทำลายความเข้มแข็งของระบบราชการแบบเก่าให้รับใช้ระบบการเมือง3.แปลงสินทรัพย์ของรัฐเป็นทุนเสรี 4.บั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นเพียงสัญลักษณ์ 5.สร้างระบบพรรคแบบรวมศูนย์การนำอำนาจสูงสุด
หลังจากนั้นพบว่า พรรคไทยรักไทยภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณได้รับการเลือกตั้งจนเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จครั้งแรกในปี 2544 และพ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นมีการประกาศทิศทางของพรรคไทยรักไทยว่าจะต้องเป็นพรรครัฐบาลพรรคเดียวให้ได้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป และก็ทำสำเร็จสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวสำเร็จในปี 2548 และนำไปสู่การแทรกแซงองค์กรอิสระ ผ่าตัดระบบราชการ แปลงรัฐวิสาหกิจต่างๆ เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหุ้น) และที่แย่ที่สุดคือ ความพยายามให้อำนาจทุกอย่างรวมศูนย์อยู่ที่ตัวนายกรัฐมนตรี
ทำทุกอย่างครบตาม 5 ข้อ
ในปฏิญญาฟินแลนด์!
นั่นเป็นสาเหตุให้พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มรู้สึกถึงการที่ต้องแย่งชิงประชาชน และพยายามตั้งตนเป็นประธานาธิบดีในรัฐไทยใหม่ที่เขาวาดฝันไว้หรือไม่?
อย่างไรก็ดี พฤติกรรมที่ชัดเจนของพ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันนั้น ได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวระดับสูงของ ดีเอสไอว่า ขณะนี้ดีเอสไอไม่หนักใจกับการเอาผิดคนในขบวนการล้มเจ้า เพราะใครทำอะไรไว้ก็มีหลักฐานปรากฎ เพียงแต่ ณ วันนี้ดีเอสไอกำลังรวบรวมหลักฐานให้แน่นหนาที่สุด เพราะการจะสั่งฟ้องดำเนินคดีกับขบวนการล้มเจ้าได้นั้น จะต้องมีหลักฐานที่แน่นหนาเพียงพอที่จะให้ศาลเชื่อและรับฟ้องคดีดังกล่าว
หลังจากนั้น แม้จะเป็นบุคคลที่หนีไปยังต่างประเทศ ดีเอสไอก็จะใช้ช่องทางทั้งอัยการสูงสุด และกระทรวงต่างประเทศ เอาคนผิดมาดำเนินคดีในไทยให้ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น