รัฐบาลระบอบทักษิณ กับกฎหมายอาญาพึงทราบ
รัฐบาลระบอบทักษิณ กับกฎหมายอาญาพึงทราบ (สารส้ม)
ดูรูปการแล้ว อยากแนะนำให้บรรดารัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูง รวมถึงเจ้าพนักงานรัฐที่รับคำสั่ง หรือกำลังจะกระทำการเพื่อประจบสอพลอผู้มีอำนาจในระบอบทักษิณ พึงหยุดความคิดดังกล่าวสักครู่...
โปรดศึกษากฎหมายอาญาที่พึงรู้ เพื่อเตือนตัวเอง และถามตัวเอง...
พร้อมที่จะเอาชีวิตของตัวเองและอนาคตของครอบครัวเข้ามาเสี่ยง เพื่อปกป้องและช่วยเหลืออุ้มชูผลประโยชน์ของทักษิณ ชินวัตร หรือไม่?
ลองพิจารณากรณี ดังต่อไปนี้
1) กรณีไม่เก็บภาษีจากการโอนขายหุ้นชินฯ จากบริษัทแอมเพิลริชไปสู่ทักษิณ (ในนามโอ๊ค-เอม)
มูลค่าภาษีมากกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท!
ขณะนี้ กรมสรรพากรยังไม่เรียกเก็บภาษีจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และดูเหมือนว่าจะอ้างเหตุอื่นอันจะไม่เก็บภาษีจากพี่ชายนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน
น่าสนใจว่า... เรื่องนี้ คุณสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ออกมายืนยันข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา ตนได้ลงนามในหนังสือของกระทรวง เห็นชอบตามที่กรมสรรพากรเสนอไม่อุทธรณ์เรียกเก็บภาษีหุ้นจากนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา 1.2 หมื่นล้านบาท เพราะมีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ระบุไว้ชัดเจนว่าทักษิณเป็นเจ้าของหุ้นตัวจริง
และในท้ายหนังสือของกระทรวงการคลังนั้น ยังได้ระบุไว้ว่า ให้กรมสรรพากรไปประเมินเรียกเก็บภาษีจากเจ้าของตัวจริง คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยเห็นควรว่าให้ดำเนินการให้ถึงที่สุด โดยให้ศาลภาษีเป็นคนชี้ขาด ไม่ใช่กรมสรรพากรรีบออกมาด่วนสรุปว่าอดีตนายกฯ ไม่ต้องเสียภาษี
เมื่อรูปการเป็นอย่างนี้ ก็ขอเตือนไปยังผู้มีอำนาจหน้าที่ว่า บ้านเมืองมีขื่อมีแป
กฎหมายอาญาแผ่นดิน "มาตรา 154 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่หรือแสดงว่าตนมีหน้าที่เรียกเก็บหรือตรวจสอบภาษีอากร ค่าธรรมเนียมหรือเงินอื่นใด โดยทุจริต เรียกเก็บหรือละเว้นไม่เรียกเก็บภาษีอากร ค่าธรรมเนียมหรือเงินนั้น หรือกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด เพื่อให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมนั้นมิต้องเสีย หรือเสียน้อยไปกว่าที่จะต้องเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท"
ย้ำ... โทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต!
2) กรณีให้ความร่วมมือหรือช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ร้ายหลบหนีอาญาแผ่นดิน ให้สามารถหลบหนีคดีต่อไปยังประเทศที่สาม
มีข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่า นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้อาศัยอำนาจรัฐหรือความเป็นรัฐมนตรีของประเทศไทย หรือแม้แต่กระทำโดยลำพังตน ช่วยเหลือให้ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นได้ ทั้งๆ ที่ อยู่ระหว่างหลบหนีโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ และมีคดีอาญาติดตัวหลายคดี
รายงานข่าวระบุว่า นายสุรพงษ์ให้สัมภาษณ์ยอมรับในรายการวิทยุ 101 FM ในทำนองว่า หลังจากทราบว่าตนได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ก็ได้มีการนัดให้ทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเข้าไปพบ ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย และได้ขอให้ทูตญี่ปุ่นพิจารณากรณีที่ทักษิณจะขอวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นให้เห็นกรณีพิเศษ
นายสุรพงษ์กล้ายืนยันข้อเท็จจริงหรือไม่?
นายสุรพงษ์กำลังช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ อำนวยความสะดวกในการหลบหนีจากการถูกคุมขัง หรือถูกลงโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลไทย และมิให้ถูกจับกุมดำเนินคดีอาญาอีกหลายคดี ใช่หรือไม่
พึงทราบกฎหมายอาญาด้วยว่า
มาตรา 189 "ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกิน สี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ..."
มาตรา 192 "ผู้ใดให้พำนัก ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดให้ผู้ที่หลบหนีจากการคุมขังตามอำนาจของศาลของพนักงานสอบสวน หรือของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ..."
โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง... บ้านเมืองมีขื่อมีแป!
http://www.naewna.com/news.asp?ID=275529
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น