พระบารมีคือพระราชอำนาจที่แท้จริงของพระมหากษัตริย์
พระบารมีคือพระราชอำนาจที่แท้จริงของพระมหากษัตริย์
วันอาทิตย์ 15 กุมภาพันธ์ 2552 15:28 บทความสถาบันฯ
พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทย ตั้งแต่ ต้นจนปัจจุบันจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงมาโดยลำดับเริ่มตั้งแต่ในยุคที่ พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจเป็นที่ล้นพ้นในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จนมาถึงยุคหัวเลี้ยวหัวต่อของการปกครองคือในช่วงยี่สิบปีแรกของระบอบประชาธิปไตย ในเวลานั้นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์จะมีมากหรือน้อยเพียงใด ก็ เป็นที่สงสัยโต้เถียงกันอยู่ในระหว่างพระมหากษัตริย์กับรัฐบาลผู้ครองอำนาจ อยู่ในเวลานั้น พฤติการณ์ดังกล่าวอาจเปรียบได้กับการแกว่งตัวของลูกตุ้มนาฬิกา เดิม “ลูกตุ้ม” คือ พระราชอำนาจนี้ เหวี่ยงไปไกลในข้างที่เป็นพระราชอำนาจเด็ดขาดของสถาบันพระมหากษัตริย์ ครั้นพอมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดขึ้น “ลูกตุ้ม” ก็เหวี่ยงกลับไปในอีกหนทางหนึ่งตรงกันข้าม คือพยายามลิดรอนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ให้เหลือแต่น้อยเพียงเท่าที่จำ เป็นต้องมีตามรูปแบบแห่งพิธีการแต่วันเวลาที่ผ่านไปในระบอบประชาธิปไตยของ ประเทศไทยนับจนถึงปัจจุบันกว่าหกสิบปีแล้ว ได้ทำให้อาการแกว่งผิดปกติของ “ลูกตุ้ม” กลับคืนเข้าสู่ดุลย์แห่งธรรมชาติ
ดุลย์แห่งธรรมชาติในที่นี้ หมายถึง ข้อเท็จจริงที่เป็นสากลว่า ประมุข ของรัฐต่างๆ นั้น นอกจากอำนาจที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นๆ แล้ว ยังมีอำนาจที่เกิดขึ้นโดยจารีตประเพณี ธรรมเนียมปฏิบัติอื่นๆ อีกมาก ที่มิได้บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ที่ใด การพิจารณาว่า อำนาจของประมุขแห่งรัฐมีอยู่เป็นอย่างไรนั้น จึงต้องพิจารณาทั้งสองส่วนนี้ประกอบกัน จึงจะแลเห็นภาพแห่งความเป็นจริงที่ถูกต้อง
พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจึงมีทั้งพระราชอำนาจในส่วนที่เป็นลายลักษณ์อักษรบัญญัติไว้ และทั้งส่วนที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรด้วย พระราชอำนาจข้อสำคัญที่สุด ก็คือ “พระราชอำนาจที่จะทรงได้รับคำกราบบังคมทูลและการปรึกษาหารือจากรัฐบาล” ด้วยพระราชอำนาจในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่กว้างขวาง ครอบคลุมขอบข่ายราชการแผ่นดินทุกอย่าง แต่เราไม่สู้จะได้มองเห็นตัวอย่างที่ชัดเจนนัก เพราะการใช้พระราชอำนาจอย่างนี้ เป็นการภายในระหว่างพระมหากษัตริย์กับคณะรัฐมนตรีโดยลำพัง
การใช้พระราชอำนาจในข้อนี้หรือในเรื่องอื่นก็ตาม จะได้ผลจริงจังมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการคือ
1. ความจงรักภักดีของราษฎร
ถ้าพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยพระองค์ใด ทรงอยู่ในฐานะซึ่งเป็นที่ภักดีของพสกนิกร การที่จะทรงใช้พระราชอำนาจอย่างหนึ่งอย่างใดตามกฎหมายรัฐธรรมนูญย่อมมีผลอยู่มาก ตรงกันข้ามพระมหากษัตริย์พระองค์ใด ไม่เป็นที่เคารพภักดีของราษฎร แม้รัฐธรรมนูญจะบัญญัติถวายพระราชอำนาจให้มากเพียงใดก็ตาม ทุกคราวที่จะทรงใช้พระราชอำนาจเหล่านั้น ก็คงจะต้องทรงยั้งคิดเหมือนกันว่า เรื่องนี้ถ้าใช้พระราชอำนาจแล้ว ประชาชนจะมีความเห็นเป็นอย่างไร
2. พระบารมีของพระมหากษัตริย์
ปัจจัยสำคัญที่สุดข้อหนึ่ง ที่จะทำให้ขอบเขตการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ กว้างขวางมากหรือน้อยแตกต่างกันในแต่ละยุคสมัย ก็คือ “พระบารมี” ของพระมหากษัตริย์ แต่ละพระองค์ไป พระบารมีนี้ หมายถึง “อำนาจที่จะคุ้มครองให้ผู้อื่นปลอดภัยได้” อำนาจนี้ย่อมมาจากคุณความดีของพระมหากษัตริย์ ได้แก่ “ทศพิธราชธรรม” นั่นเอง เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงยึดมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรม ก็เป็นที่รักใคร่ยกย่องของมหาชนทำให้มีอำนาจเป็นที่เกรงกลัวของคนพาลและเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้
ปัจจัยที่จะเป็นผลให้พระบารมีเพิ่มพูนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายประการ เช่น ระยะเวลาหรือความยืนยาวแห่งรัชสมัย ยิ่งพระมหากษัตริย์ทรงครองแผ่นดินนานช้าเพียงใด ประสบการณ์ในหน้าที่พระมหากษัตริย์ ก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น อาทิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงครองราชย์มาตั้งแต่ พ.ศ.2489 นับถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่าหกสิบปี อันเป็นเวลาช้านานนัก จนอาจกล่าวได้ว่านายกรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือแม้กระทั่งองคมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบัน ล้วนมีประสบการณ์ในราชการแผ่นดินน้อยกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมากกว่ามาก ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลไปกี่ชุด เลือกตั้งไปกี่ครั้ง หรือเปลี่ยนรัฐธรรมนูญไปกี่ฉบับก็ตาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ก็ยังคงเป็นพระประมุขของรัฐ คราใดก็ตามที่ทรงใช้พระราชอำนาจพระราชทานคำแนะนำให้แก่รัฐบาล ก็หมายความว่า พระราชกระแสแนะนำนั้น เป็นผลแห่งพระบรมราชวินิจฉัยที่ทรงกลั่นกรองดีแล้ว ที่รัฐบาลพึงรับใส่เกล้าฯ ใคร่ครวญด้วยความรอบคอบ แต่ที่กล่าวดังนี้ ก็ มิได้หมายความว่าระยะเวลาในศิริราชสมบัติจะเป็นปัจจัยอย่างเดียวที่ทำให้พระ บารมีของพระมหากษัตริย์มากหรือน้อยนอกจากระยะเวลาสั้นยาวแล้ว
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่จะเพิ่มพูนพระบารมีได้มากก็คือ พระราชกรณียกิจที่ทรงบำเพ็ญเพื่อประเทศชาติและประชาชน ถ้าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดทรงอุทิศพระองค์เพื่อความอยู่ดีกินดีของราษฎร ทรงเป็นพระปิยราชของประชาชน ถ้าไม่ต้องสงสัยว่า “พระบารมี” คือ อำนาจที่เกิดจากความดีของพระมหากษัตริย์พระองค์นั้น จะแผ่ไพศาลและงดงามบริบูรณ์เปี่ยมพระเกียรติยศ ในทางตรงกันข้ามพระมหากษัตริย์ที่ทรงราชย์เป็นเวลายืนนาน แต่มิได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจให้เป็นที่หิตานุหิต ประโยชน์แก่อาณาประชาราษฎร์ ที่ไหนเลยพระบารมีและพระราชอำนาจจะเกิดขึ้นได้ พระราชอำนาจที่เขียนได้เป็นตัวบทกฎหมายในรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายลายลักษณ์อักษรฉบับใด ก็ ไม่มีฤทธิศักดิ์สิทธิ์ และเป็นผลทางปฏิบัติ เทียบเทียมกับพระราชอำนาจที่เกิดขึ้นจากศรัทธาความรักใคร่ภักดี เชื่อถือในพระบารมีที่เกิดขึ้นในใจของราษฎรทั้งแผ่นดิน
3. ลักษณะของรัฐบาล
ปัจจัยอีกข้อหนึ่งที่มีผลกระทบถึงขอบเขตการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อย่างยิ่งก็คือลักษณะของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนคติของตัวนายกรัฐมนตรีมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง เปี่ยมด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิ ในขณะเดียวกันพระมหากษัตริย์พระชนมายุน้อย เพิ่งเสด็จขึ้นครองราชย์ ยังไม่มีโอกาสได้บำเพ็ญบารมีให้เป็นที่ประจักษ์แจ้งทั่วไป โอกาสและความศรัทธาที่จะทำให้พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะพึงจะพระราชทานคำแนะนำอันมีประโยชน์แก่รัฐบาล ก็คงเป็นไปได้ยาก แต่เมื่อใดก็ตามที่พระมหากษัตริย์ทรงถึงพร้อมด้วยพระคุณธรรมและพระคุณวุฒิโดยประการต่าง ๆ ทุกด้าน นายกรัฐมนตรีซึ่งผลัดเวียนกันเข้ามารับตำแหน่งก็คงต้องยอมรับข้อเท็จจริงในความด้อยประสบการณ์ในราชการแผ่นดินของตน และน้อมเกล้าฯ ขอรับพระราชทานคำแนะนำอันมีค่าจากสถาบันพระมหากษัตริย์
ข้อพิจารณา
1. ดังที่กล่าวมาแล้วว่า พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์นั้น มีทั้งส่วนที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร และในจำนวนพระราชอำนาจทั้งปวง พระราชอำนาจที่จะทรงได้ระบคำกราบบังคมทูลและการปรึกษาหารือ เป็นพระราชอำนาจข้อสำคัญที่สุดในประเด็นนี้ต้องย้ำความเข้าใจให้กระจ่างชัดว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานกระแสอย่างใดอย่างหนึ่งมาแล้ว รัฐบาลชอบที่จะรับพระราชกระแสนั้นไว้เหนือเกล้าฯ เพื่อพิจารณาตัดสินใจด้วยดุลพินิจของตนอีกครั้งหนึ่ง พระราชกระแสเช่นนั้นมิใช่กระแสพระบรมราชโองการเด็ดขาดอย่างในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทั้งผู้เขียนก็เชื่อมั่นด้วยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหฤทัยเป็นประชาธิปไตยยิ่ง คงจะไม่ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้พระราชกระแสเป็นผลบังคับรัฐบาลต้องตัดสินใจปฏิบัติตามทุกกรณี เท่าที่ผ่านมาในอดีต รัฐมนตรีบางท่าน หรือ โฆษกรัฐบาลบางยุคบางสมัยเมื่อต้องกล่าวพาดพิงไปถึงประเด็นการตัดสินใจของ รัฐบาลที่ล่อแหลมต่อความผิดถูกต้องก็มักกล่าวอ้างถึงพระราชกระแสอย่างนั้น อย่างนี้บ้าง ใช้ถ้อยคำว่า “รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” โดยพร่ำเพรื่อไม่จำเป็นบ้าง ด้วยหวังพระบารมีปกเกล้าฯ เป็นที่พึ่ง ตรงกันข้ามกรณีใดที่เป็นสำเร็จ ความภาคภูมิใจในผลงานก็มักแถลงว่าเรื่อง “รัฐบาลภายใต้การนำของ…” ได้ริเริ่มจัดทำขึ้นแล้ว ดูจะเป็นการรับแต่ความชอบไม่ยอมรับความผิดเสียบ้างเลย
2. ในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญบางฉบับ ได้มีสมาชิกรัฐสภาเสนอแนวคิดที่จะถวายพระราชอำนาจในส่วนที่เป็นบทบัญญัติลาย ลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญให้เพิ่มพูน หรือชัดเจนขึ้นกว่าแต่ก่อน ซึ่งเหตุการณ์ได้ปรากฏเป็นที่แจ้งชัดแล้วว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงมีพระราชประสงค์เช่นนั้น ตัวบทรัฐธรรมนูญในส่วนที่ว่าด้วยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ เท่าที่มีอยู่ในเวลานี้ ดูจะเป็นการเหมาะสมและพอเพียงแล้ว ไม่ควรที่จะแก้ไขเพิ่มเติมแต่ประการใด พระราชอำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในส่วนที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ควรคงไว้ในลักษณะที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรต่อไป ด้วยสามารถอ่อนตัว (flexible) เข้ากับเหตุการณ์บ้านเมืองที่ผันแปรไปแต่ละยุคสมัยได้ ดังที่ได้สรุปไปแล้วในตอนต้นว่า พระราชอำนาจในส่วนนี้ จะทรงใช้ได้ในขอบเขตเพียงไรนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ข้อ คือ ความจงรักภักดีของราษฎร พระบารมีของพระมหากษัตริย์ และลักษณะของรัฐบาลประกอบกัน หากนำพระราชอำนาจในส่วนนี้ไปบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรที่แจ้งชัดแล้ว ก็จะมีลักษณะที่กระด้าง (rigid) อาจไม่เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองได้ สมดังกระแสพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ที่เคยพระราชทานสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ”
เหนือกว่าสิ่งอื่นใด ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ ได้พึงสังวรระวังที่จะช่วยกันค้ำชูสถาบันนี้ ให้เป็นศรีสง่าที่ยั่งยืนแก่ประเทศของเราสืบไปในอนาคตเบื้องหน้า อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเฉพาะหน้าอาศัยพระบารมีปกเกล้าฯ เป็นที่พึ่ง แล้วสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งโดยจงใจหรือไม่เจตนา นักการเมืองที่ดี เอกชนแต่ละคนก็ดี ผ่านเข้ามาในหน้าหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์ชั่วระยะเวลาไม่กี่สิบปีที่ตนมีอายุยืนอยู่แล้วจากไป แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ตราบใดที่ยังมีคนไทย แผ่นดินไทย ตราบนั้นเราก็จำเป็นต้องมีพระมหากษัตริย์เป็นร่มเกล้าธงชัยของบ้านเมือง เช่นวันนี้เป็นวันนิรันดร์
บทความนี้ตัดทอนบางส่วนมาจาก “พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ” ของธงทอง จันทรางศุ
เราผองไทย ใจภักดิ์ รักในหลวง
ตอบลบพระองค์ห่วง ปวงราษฎร์ พระบาทท่าน
ทรงศึกษา หาแนว แล้วประทาน
ธ ทรงงาน นานช้า มาสู่ไทย
อุปถัมภ์ ค้ำชู ศาสนา
พระมหา กรุณา อันยิ่งใหญ่
เสมอภาค หลากชน สนพระทัย
หลอมหัวใจ ให้อยู่ รู้พึ่งพา