ประชาชนจะอดทนได้นานเท่าไร
ประชาชนจะอดทนได้นานเท่าไร ?
ญี่ปุ่นออกวีซ่าให้ ทักษิณ ชินวัตร เข้าประเทศเป็นกรณีพิเศษแล้ว เช่นเดียวกับ เยอรมันนีที่ให้ทักษิณ เข้าประเทศมาก่อนหน้านี้ ต่อไปก็คงจะมีข่าวประเทศโน้นประเทศนู้นอนุญาตให้ ทักษิณเข้าประเทศ ไม่จำเป็นที่จะต้องอาศัยหนังสือเดินทางมอนเตรนิโกรอีก เผลอๆอาจจะได้หนังสือเดินทางปกแดงที่รัฐบาลไทยสมัยพรรคประชาธิปัตย์ดูแลกระทรวงการต่างประเทศยกเลิกไป กลับมาใช้ใหม่ ในอีกไม่นานนี้ก็ได้
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ย้ำแล้วย้ำอีกว่า การเป็นนายกรัฐมนตรีของเธอ ไม่เกี่ยวข้องกับ ทักษิณผู้เป็นพี่ชาย แม้แต่การคัดสรรบุคคลที่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี ก็เป็นเรื่องของเธอกับคณะกรรมการพรรคเพื่อไทย ทักษิณ ชินวัตร ไม่เกี่ยว
ผู้คนทั้งหลายทั้งปวงที่ได้ยินก็เกิดความรู้สึกในใจว่า อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ แต่ที่ทนนิ่งเฉย ก็เพราะเห็นว่า เป็นเรื่องใหม่ ผู้คนทั้งประเทศ หรืออย่างน้อยก็ ๑๔ – ๑๕ ล้านคนที่เลือกพรรคเพื่อไทย เทคะแนนให้เธอมาเป็นนายกรัฐมนตรี และก็ป็นจริงๆ ยังปลื้มไม่หยุด จะโกหก ตอแหล บ้างเล็กๆน้อยๆก็ดูเป็นเรื่อง น่ารัก น่าให้อภัย
เช่นเดียวกับที่เคยมีความรู้สึกดีๆกับ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี ๒๕๔๔ บอกว่า รวยแล้วไม่โกง ก็เชื่อ เอาหุ้นไปซุกไว้กับคนใช้ รปภ. ก็เห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา หุ้นของเขาจะเอาไปไว้ที่ใครไม่เห็นจะแปลก เป็นสิทธิของเขา สงสัยว่าคนพูดเรื่องนี้อิจฉาตาร้อนในความร่ำรวยของเขา
ต่อเมื่อ ทักษิณขายหุ้นให้เทมาเส็ก โดยที่ไม่เสียภาษีสักบาท โดยอ้างว่า หุ้นที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เขาไม่เก็บภาษี อยากจ่ายภาษีใจแทบขาดแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ( ทั้งที่ความเป็นจริงก็คือ กว่าที่จะขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เพื่อไม่ต้องเสียภาษีนั้น ทักษิณต้องใช้วิธีการอย่างไรบ้าง ทักษิณไม่เคยพูด นอกจากสื่อนำมาแฉ และศาลเคยมีคำพิพากษาในเรื่องนี้ ) นั่นแหละครับที่ประชาชนทนไม่ได้ออกมาคัดค้านเขาเมื่อต้นปี ๒๕๔๙ และนำไปสู่การรัฐประหารเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙
กรณีที่ทางการญี่ปุ่นอนุญาตให้ ทักษิณ เข้าประเทศ นางสาวยิ่งลักษณ์ บอกว่า เธอไม่รู้เรื่องนี้เลย ถามนายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบอกว่า ยังไม่ได้เข้าไปนั่งทำงานในกระทรวง ยังไม่รู้เรื่องนี้
สำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นเปิดเผยเรื่องนี้ว่า นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า ดีใจกรณีที่รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาอนุญาตให้ พันตำรวจโททักษิณ เดินทางเข้าประเทศ เพราะแสดงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศทั้งสอง
ตามกฎหมาย ญี่ปุ่นจะไม่อนุญาตให้บุคคลที่มีความผิดทางอาชญากรรม หรือถูกตัดสินจำคุกเกิน ๑ ปี เข้าประเทศ ทว่ามีการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษในบางโอกาส
กรณีของ ทักษิณ มีรายงานข่าวว่า รัฐบาลไทยมีนโยบายที่จะไม่ปิดกั้นการเดินทางเยือนประเทศต่างๆของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ และรัฐบาลไทยขอให้ญี่ปุ่นออกวีซ่าให้ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีบอกกับผู้สื่อข่าว
เพราะฉะนั้นที่บอกว่า ไม่รู้เรื่องนี้ก็คือ โกหก หรือ ตอแหล นั่นเอง ไม่มีทางที่จะเป็นอย่างอื่น
การให้ความช่วยเหลือ ทักษิณ ของรัฐบาลชุดนี้เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องทำ เพราะ ทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ออกแบบนายกรัฐมนตรี ออกแบบคณะรัฐมนตรี ต้องการให้เป็นอย่างนี้ ตลอดเวลานับตั้งแต่หมดอำนาจเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ที่ ทักษิณดิ้นรนอยู่ทุกลมหายใจก็เพื่อการนี้
ปัญหาก็คือ ประชาชนจะอดรนทนได้แค่ไหน ?
เริ่มตั้งแต่ทนรับฟังคำโกหก ตอแหลของรัฐบาลที่บอกว่า ทักษิณ ไม่เข้ามาเกี่ยวของใดๆกับรัฐบาล ประชาชนจะอดทนทำเป็นโง่ ทำเป็นไม่รู้เล่ห์เหลี่ยม ชั้นเชิงของรัฐบาลได้นานแค่ไหน ประชาชนจะต้องอดทนกับสิ่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมได้นานขนาดไหน เช่น กรณีที่กรมสรรพากรรีบกุลีกุจอจ่ายภาษีคืนให้ลูกชาย ลูกสาว ทักษิณ เพราะเห็นว่าหุ้น เป็นของ ทักษิณ ประชาชนอาจจะทนได้ หากกรมสรรพากรทำอย่างตรงไปตรงมาคือ คืนภาษีให้กับคนที่ไม่ใช่เจ้าของหุ้นที่แท้จริง แล้วกับ ทักษิณ ซึ่งเป็นเจ้าของ หุ้นที่แท้จริง กรมสรรพากรจะเรียกเก็บหรือไม่ เรียกเก็บได้หรือไม่ หรือกรมสรรพากร จะบื้อ ไม่รู้จะเก็บที่ใคร ที่ไหน อย่างที่สำนักอัยการสูงสุดของเรายังไม่รู้ถิ่นฐานที่อยู่ของ นักโทษชาย ทักษิณ ในขณะนี้
ประชาชนจะอดทนได้นานขนาดไหนเมื่อประจักษ์ชัดว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ที่เคยประกาศว่าจะไม่ทำเพื่อคนๆเดียว เมื่อนักข่าวถามว่าจะนิรโทษกรรมให้ ทักษิณหรือไม่ แต่เมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรี นั่งเก้าอี้ก้นยังไม่ทันร้อนเลย ก็เริ่มออกลายแล้ว เริ่มตั้งแต่ขอให้ญี่ปุ่นอนุญาตให้ทักษิณเข้าประเทศ และกำลังคิดที่จะคืนหนังสือเดินทางปกแดงให้
ต้องไม่ลืมว่า ทักษิณคือ นักโทษหนีคุก ตราบใดที่ยังไม่มีการนิรโทษกรรม รัฐบาลไทยก็ต้องตามเอาตัวมาลงโทษ กระทรวงการต่างประเทศต้องประสานกับสำนักงานอัยการสูงสุดเอาตัวมาเข้าคุก ใช่การอำนวยความสะดวก
ที่รัฐบาล นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทำอยู่ขณะนี้คือ การกระทำที่ขัดกันในผลประโยชน์
ประชาชนจะทนได้แค่ไหนในสิ่งเหล่านี้
ก็ต้องคอยดูกันต่อไป อย่าได้กระพริบตา
โดย...สำเริง คำพะอุ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น